วันอังคาร, ตุลาคม 28, 2551

ใส่สี กันดีกว่า แดง เหลือง ขาว รุ้ง หรือ เขียวฟ้า?

ขอส่งกลอนไร้ระเบียบ เปล่ารูปแบบ แต่ไม่เปล่าประโยชน์ มากวนใจเพื่อน ๆ

โดย เรือเอี้ยมจุ๊น


ในช่วงนี้กระแสแฟชั่นเสื้อสีแดงและสีเหลืองกำลังร้อน ฮอตฮิต

พ่อค้า แม่ขาย ผลิตเสื้อสีดั่งว่ากันไม่ทัน

โกยเงินกันเป็นกอบเป็นกำ เงินขึ้นให้รับตัก

หากมีความรุนแรง คนอยู่เบื้องหลัง คงมีกรรมเป็นกอบ


ความคิดหลากหลาย ก็มันคน!

ความโง่งม งมงาย หลงติดในความคิด เป็นไฟผลาญตนและผู้อื่น

สังคมตอนนี้สาดสีใส่กัน


สีเหลือง อ้างกูชูธรรม

สีแดง อ้างพลังประชาชน ประชาธิปไตย

สีขาว (อัศวินม้าขาว) หวังเชิดชูสันติ

สีดำ อาลัยสัจธรรมที่ถูกทำลาย

สีรุ้ง ขอร่วมด้วยนะตัว ร้องเรียกสิทธิและความเป็นมนุษย์ที่แตกต่าง ก็ในเมื่อคิดต่างไม่เป็นไร เราก็ชอบเพศเดียวกันได้ เป็นไรเป่า?


สีมีหลายหลาก ต่างสัญลักษณ์และความหมาย ที่คนให้

จำเป็นต้องเลือกไหม จะเลือกอย่างไร ชีวิตจึงจะงอกงาม


มนุษย์ไม่ตระหนักเลยหรือว่า ชีวิตกำลังมอด ตากำลังบอด หูหนวกตึง

ได้ยินบ้างไหม เสียงภัยในชีวิต

ความเจ็บป่วย มะเร็งในสายพันธุ์

แผ่นดินไหว ไฟลาวา มรสุมหนักหนาแรงพลัง คลื่นใหญ่ ถาโถมโรมรัน

ขยะที่ทิ้งในแต่ละวัน กำลังจะเป็นภูเขาลูกใหม่

เมลามีนในอาหาร และอีกหลายสารพิษ ที่คนใจโลภใจร้ายใส่ลงให้สัตว์ ให้ต้นน้ำ ต้นไม้ และเพื่อนร่วมโลกกิน


เราอยากสวมหัวใจสีเขียวและสีฟ้า แทนโลกและท้องฟ้าอากาศ

เราอยากดูแลโลก สิ่งแวดล้อมทั้ง ต้นไม้ ต้นน้ำ สัตว์ แร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีสิทธิอาศัยในโลกนี้เหมือนเรา

พวกเขาเป็นที่พึ่งพาอาศัยของเรา ให้ชีวิตแก่เรา

หากเราสามารถรักโลก รักสัตว์ได้ ไฉนจะไม่สามารถเผื่อแผ่ความรักให้เพื่อนมนุษย์ได้


ความรักให้ชีวิต ปราศจากความรัก ...ปราศจากชีวิต


ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในบ้านเมือง

อย่าเลิกใส่ใจกับทุกชีวิตรอบกาย


ขอให้หัวใจสีเขียวช่วยเยียวยา

มีชีวิต เพื่อรับมือกับเรื่องที่คาดไม่ถึง

โดย วิสวัฒนา

เคยคิดหรือตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า เราทุกคนเกิดมาเพื่ออะไร และจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เชื่อว่าหลายคน อาจเคยถามตัวเองวันละหลายๆ ครั้ง มีทั้งที่ได้คำตอบและยังคงต้องค้นหาความหมายอย่างที่ต้องการอีกต่อไป

ในเวลาเดียวกันหลายๆ คน อาจไม่เคยถาม ไม่คิดว่าจะถาม และไม่อยากถาม (คงนึกด้วยว่า ผู้เขียนถามทำไม...ไร้สาระ)
แต่หากมานั่งคิดใหม่ เอาตอนเวลาที่ใจสงบๆ ก็น่าสนใจดีนะ น่าสนใจความคิดที่วกวน วิ่งไปมา และพยายามคิดให้ได้คำตอบ

คำตอบที่ว่า ก็เป็นคำตอบที่แต่ละคน อยากจะได้ยิน อยากจะยอมรับนั่นเอง หรืออาจเป็นคำตอบที่คาดว่า น่าจะใช่ สำหรับ “ความหมายของชีวิต” ผู้เขียนเคยได้คุยกับใครหลายคนจึงรับรู้ว่ามีความเห็นในเรื่องนี้แตกต่างกันไป

สำหรับคนที่ใส่ใจและสนใจกับเรื่องของธรรมะและการปฏิบัติภาวนา และมองโลกในแง่ดี ก็จะบอกว่าเกิดมาเพื่อทำกุศล เพื่อให้ก้าวล่วงหลุดพ้นจากความทุกข์ ดียิ่งขึ้นไปกว่านั้น ก็คือ การไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อเป็นทุกข์อีก

ในขณะที่คนซึ่งผ่านชีวิตมาระยะหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครที่มีชีวิตไม่ได้สุขสบายมากนัก หรือต้องประสบเคราะห์ร้ายอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ก็อาจตอบว่า เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม

แต่สำหรับคนที่โชคดี เกิดมาด้วยชีวิตพรั่งพร้อมทั้งความสุข ความสะดวกสบาย ไม่ต้องขวนขวายดิ้นรนหรือต้องทำมาหาเลี้ยงตนเองให้เหนื่อยสายตัวแทบขาด ก็อาจได้รับคำตอบว่า เกิดมาเพื่อเสวยสุขและกินบุญเก่าที่สั่งสมตั้งแต่ชาติก่อนๆไว้ดีแล้ว
ส่วนจะทำบุญหรือทำความดีเพื่อสะสมต่อไว้ในชาติหน้า (ถ้ามี) หรือไม่ ก็แล้วแต่ว่า ใครจะเชื่ออย่างไร

ไม่ว่าจะเป็นคำตอบใดๆ ก็ได้ทั้งสิ้น ไม่มีความผิดถูก ใช่ หรือไม่ใช่ เพราะอาจมีได้หลายคำตอบและหลายเหตุผล ขึ้นอยู่กับมุมในการมองและความเข้าใจ หรือการตีความหมายของ “ชีวิต” อย่างที่แต่ละคนอยากให้เป็น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

ผู้เขียนเองเคยจมอยู่กับความคิดนี้มานานหลายปี แต่เป็นการคิดแล้วผ่าน คิดแล้วทิ้งไว้ เพราะยังไม่ได้คำตอบอย่างที่ใจต้องการหรือเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นคำตอบที่แท้จริง สุดท้ายก็เลยไม่คิด และไม่ได้ตั้งความหวังในอนาคตว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ก็แค่เพียงใช้ชีวิตไปวันๆ สุขบ้าง ทุกข์บ้างไปตามประสา

แต่มาวันหนึ่ง ก็ได้คิด เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องราวที่พลิกผันหลายเรื่องติดๆ กัน แล้วก็ได้คำตอบว่า นี่อาจเป็นสิ่งที่เรามองหาแล้วไม่เจอ ทั้งๆที่อยู่บนปลายจมูกของเรานี่เอง

เพื่อนสนิทคนหนึ่งต้องมาจากไป แม้จะไม่ได้จากตาย แต่ก็แทบไม่มีความหวังสำหรับการฟื้นคืนชีวิตมาอีกครั้ง จากอาการหัวใจหยุดเต้นกระทันหัน ทำให้สมองขาดเลือดและกลายเป็นเจ้าชายนิทรา การเจ็บป่วยครั้งนี้ ไม่มีวี่แววหรือส่งสัญญาณใดๆล่วงหน้าเลย จึงไม่เคยมีการเตรียมตัวในหมู่คนใกล้ชิด แม้จะรู้ว่ามีความเจ็บป่วย แต่คนไข้ก็เชื่อมั่นว่าดูแลตัวเองดีคงไม่มีปัญหา (อาจมีสัญญาณทางกายที่เป็นโรคหัวใจ แต่ถูกละเลยหรือคิดว่าไม่สำคัญ เพราะดูแลตัวเองจนดีแล้ว จนชะล่าใจ กลายเป็นเรื่องใหญ่ในเวลาต่อมา)

ผู้เขียนตระหนักว่า ความตายอยู่ใกล้ตัวเราแค่เอื้อมเท่านั้นเอง แต่ไม่ค่อยมีใครอยากนึกถึง หรืออยากเผชิญหน้ากับมัน และวิธีไม่ยอมรับก็คือการหลีกเลี่ยง ปฏิเสธไม่ให้ความสำคัญ ไม่ใส่ใจ ซึ่งนั่นเท่ากับความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะเมื่อเราไม่ตั้งรับ เวลาที่ความตายหรืออาการเฉียดตายมาถึงโดยเราไม่พร้อม จึงกลายเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลานาน กว่าจะตั้งตัวได้ บางคนต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิต แต่ก็ยังไม่สามารถพลิกฟื้นกลับคืนมาได้อีกครั้ง หรือบางคนก็ไม่มีโอกาสนั้นอีกเลย

ไม่กี่วันถัดมา ก็มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นติดตามมาภายในวันเดียว ทำให้ต่อมความคิดได้ทำงานหนักอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ เช้าวันหนึ่ง ฝนตกตอนกำลังตากผ้าที่ซักไว้แล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ฟ้าแจ่มใสมาก จะ ทำอย่างไรได้จึงต้องตากผ้าหมาด ให้เปียกกลางฝนอีกครั้ง (ไม่นับรวมความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นหลังฝนตก เพราะเพิ่งล้างรถมาได้เพียงวันเดียว)

แล้วอีกไม่กี่นาทีต่อมา ก็ทำแจกันแก้วใส่พลูด่าง ซึ่งตั้งไว้ที่หน้าต่างหลุดมือตกพื้นแตกละเอียด เนื่องจากปิดหน้าต่างกระแทกโดยไม่ได้ตั้งใจ ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อทำความสะอาดและเก็บกวาดเศษแก้วบนพื้นเพื่อไม่ให้มีเศษแก้วตกค้าง

เมื่อไปถึงที่ทำงาน ปรากฎว่า นัดหมายประชุมในวันนั้นต้องเลื่อนกระทันหันเพราะ ประธานที่ประชุมติดภารกิจด่วน แผนการที่วางไว้จึงต้องเปลี่ยนแปลงและโยกย้าย ใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะสะสางเรื่องราวได้เรียบร้อย
แต่ตอนบ่าย กลับมีเรื่องให้ประหลาดใจ เพราะเพื่อนสมัยมัธยมที่ห่างหายการติดต่อกันไปนาน โทรศัพท์มาหาเพื่อนัดทานข้าว และบอกข่าวคราวเพื่อนอีกคน ซึ่งจากไปด้วยอุบัติเหตุ

หลังจากนั้นตอนเย็นระหว่างเดินทางกลับจากสำนักงาน เกิดอุบัติเหตุรถผู้เขียนไปชนคันหน้าเพราะเขาเบรคกระทันหัน หลบรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้รถเราที่ตามหลังมารั้งไม่อยู่ เสยเข้ากลางลำตัวรถ แถมคู่กรณียังขับต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

วูบแรกของความคิดในนาทีนั้นคือ โกรธ แบบรู้ตัวว่า โกรธจริงๆ โมโหที่เขาไม่รับผิดชอบและไม่ยอมหยุดรถเพื่อดูความเสียหาย ทั้งๆที่เป็นฝ่ายผิด ผู้เขียนสวมวิญญาณ นางสิงห์สาว เหยียบคันเร่งสุดตัว เพื่อตีคู่รถคันหน้าไปให้ทัน พร้อมๆกับการบีบแตรยาวแบบไม่สนใจใครทั้งสิ้น กระพริบไฟสูงไล่ ทำสัญญาณทุกอย่างให้เขาหยุดรถ ซึ่งก็ไม่เป็นผล (มาคิดย้อนหลังให้ใจหาย เพราะขับรถแบบบ้าระห่ำมาก จนน่ากลัวว่า อาจเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้)

จนกระทั่งรถแล่นมาในระนาบเดียวกัน ประมาณ 400-500 เมตรต่อมา ก็เปิดกระจกรถและให้สัญญาณรถคันนั้นแอบเข้าข้างทาง จึงได้เห็นว่าคู่กรณีเป็นผู้หญิง ซึ่งเขาก็ยอมหยุดรถ แต่เนื่องจากกำลังอยู่บนสะพานข้ามแยก ผู้เขียนจึงบอกให้ลงมาด้านล่างและหยุดรถเพื่อเจรจากัน

พอรถจอดสนิทแล้ว เธอก็ยังอยู่ในรถ ไม่ยอมลงมาคุย จนผู้เขียนต้องเดินไปหา ได้รับคำถามว่า “มีอะไรคะ” พร้อมหน้าตาเหรอหรา ทำให้ความโกรธปรี๊ดขึ้นอีกครั้ง ก็เลยตอบไปว่า คุณเบรครถกระทันหัน ทำให้รถดิฉันชนรถคุณและเสียหาย ลงมาดูหน่อยสิคะ

เมื่อเขาลงมาด้วยท่าทางตกใจ และไปดูความเสียหายที่รถเขาและรถของเรา ประโยคต่อมาทำให้เราใจเย็นลงได้หน่อยหนึ่ง นั่นก็คือ “ ขอโทษที พี่ไม่รู้ว่ารถถูกชน ไม่รู้ตัวเลย”

ถามไถ่ได้ความว่า คู่กรณีไม่รู้สึกเลยว่า รถถูกชน และนี่เป็นครั้งแรกที่มีประสบการณ์เช่นนี้ จึงทำอะไรไม่ถูก กระทั่งการเรียกประกัน ก็ยังไม่คล่อง ต้องโทรไปถามญาติที่บ้าน

อุบัติเหตุครั้งนี้ ทำให้ผู้เขียนต้องยกเลิกงานอีกแห่งหนึ่งซึ่งกำลังรออยู่ เพราะไปไม่ทันเวลา เดือดร้อนต้องหาคนอื่นมาทำงานแทน แต่ก็ทำให้ผู้เขียนได้คิดอีกหลายเรื่อง ระหว่างนั่งรอประกันมาถึง ซึ่งประกันของคู่กรณีมาช้ามาก เจ้าหน้าที่ประกันภัยรถของผู้เขียน ถามว่า เขายอมรับผิดหรือเปล่า ผู้เขียนก็บอกว่า ไม่ได้ถาม แต่ก็เห็นเขาประสานงานอยู่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
กว่าหนึ่งชั่วโมงที่ต้องนั่งรอเจ้าหน้าที่ประกันข้างถนน ทำให้มีเวลานั่งทบทวนอารมณ์และหวนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ผู้เขียนจึงได้เรียนรู้เรื่องสำคัญหลายประการ

รู้ว่าในวันนั้น อารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง สั่นไหวและขึ้นลงตลอดเวลา ไม่ได้มีแม้ชั่วขณะที่จะอยู่นิ่งๆ เพราะมีสิ่งเร้ามากระทบมากมาย และส่วนใหญ่คือ อารมณ์ด้านร้าย ไม่ว่าจะเป็น ความหงุดหงิด หัวเสีย โกรธ ผิดหวัง และโมโห แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อใจสงบลง ได้ครุ่นคิดมากขึ้น ก็มีอารมณ์ใหม่เข้ามาคือ การลดความโกรธ ใจเย็นลงและให้อภัยในเวลาต่อมา ทั้งเจ้าหน้าที่ประกันภัยที่มาช้า เนื่องจากเกิดเหตุอื่นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน พนักงานไม่พอจึงต้องเคลียร์งานแรกให้แล้วเสร็จก่อน ถึงจะมาได้ ไม่ได้เป็นสาเหตุจากบริการที่ล่าช้าหรือไม่รับผิดชอบแต่อย่างใด(ก่อนหน้านั้นก็ถูกแอบบ่นในใจเป็นกระบุงไปแล้ว ตำหนิการให้บริการไปต่างๆนานา ทั้งเราและคู่กรณี) และคู่กรณี ซึ่งไม่รู้ตัวว่ารถถูกชน แถมด้วยอารมณ์เสียใจและรู้สึกผิด เพราะด่วนไปตำหนิกล่าวโทษ โดยไม่ได้รอฟังเหตุผลหรือข้อเท็จจริง

เป็นการด่วนสรุป และคิดไปเองล่วงหน้า ไม่นับความบุ่มบ่ามใจร้อน ที่เร่งความเร็วรถเพื่อไล่ตามคันหน้า จนไม่นึกถึงความปลอดภัยของตัวเอง โชคดีหนักหนาที่รอดมาได้โดยไม่เกิดเหตุซ้ำซ้อน

คิดได้ดังนั้น สติจึงกลับมาอยู่กับตัว หลังจากพลุ่งพล่าน เตลิดไปกับหลากหลายอารมณ์ตลอดทั้งวัน ความโกรธ หรือหงุดหงิด ที่ควรจะมีกับเหตุที่เกิดขึ้นจึงไม่เกิด และไม่ได้โทษสิ่งที่ไม่คาดฝันทั้งหลายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ผู้เขียนรู้สึกว่า เราเองก็มีส่วนให้เขาต้องเสียเวลา เพราะหากรถมีประกันชั้นหนึ่ง ก็อาจไม่ติดใจและแยกย้ายกันไปก็ได้ แต่เมื่อดึงเรื่องยืดเยื้อจึงต้องกระทบไปหลายส่วน

พอยอมรับดังนั้นได้ จิตใจจึงสบายขึ้น อารมณ์ด้านร้ายก็ไม่สามารถทำลายหรือรบกวนจิตใจผู้เขียนได้อีก และมองเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายลง ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์อีก รวมไปถึงการต้องเสียเวลาอีกหลายวันหลังจากนั้นที่ต้องเอารถเข้าอู่ซ่อม แต่ใช้เหตุการณ์นี้เป็นบททดสอบเพื่อการรู้จักและฝึกตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

ถอยเวลาย้อนกลับไปที่เหตุการณ์อื่นๆซึ่งเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน ก็พบว่าล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องอยู่นอกเหนือความคาดหมาย ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น จึงไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้รับ มือล่วงหน้า ในเรื่องดีที่เป็นบวก ก็ทำให้จิตใจยินดีปรีดา แต่สำหรับเรื่องร้าย สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่บรรเทา เยียวยาและแก้ไขไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้นเอง โชคดีที่เหตุส่วนใหญ่ สามารถแก้ไขได้โดยไม่เกิดความเสียหายมากมายนัก และไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร

เรื่องที่เหนือความคาดหมาย ก็คือสิ่งที่เราไม่รู้ การไม่รู้ ทำให้อาจไม่ได้เตรียมตัวตั้งรับสถานการณ์ และเกิดเป็นความกลัวในเวลาต่อมา นำไปสู่อารมณ์และความรู้สึกอื่นๆอีกมากมาย เช่น หดหู่ เสียใจ เศร้า หวงแหน หงุดหงิด โกรธ อาลัยอาวรณ์ ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ก็จะทำให้ยืนหยัดอยู่ได้ยาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่เป็นบวก

ในแต่ละวัน เคยนับกันไหมว่า เราได้เจอเรื่องนอกเหนือความคาดหมายกันสักกี่เรื่อง ดี หรือร้ายมากน้อยกว่ากัน และเราจัดการกับเรื่องที่เข้ามาได้อย่างไร

หากใครสามารถรู้เท่าทัน และดูแลเหตุที่เข้ามากระทบใจของเราได้ ก็ถือเป็นโชคและบุญอันยิ่งใหญ่ เพราะจะสามารถประคองใจ ไม่ให้ซัดส่ายจนกลายเป็นคนไร้สติ และอาจนำไปสู่การกระทำอื่นๆที่ให้ผลอันยากจะคาดเดา
วาบความคิดสุดท้ายที่เข้ามาในจิตใจ นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า และที่ท่านติช นัทห์ ฮัน เคยบอกไว้ ว่าให้อยู่กับปัจจุบันขณะ เพียงแค่ชั่วลมหายใจ เข้า- ออก

การอยู่กับปัจจุบันขณะ มีสติ มีชีวิตเพื่อรับมือกับเรื่องที่คาดไม่ถึง นี่กระมัง ที่เป็น “ความหมายของชีวิต” ของคนหนึ่งคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้

วันพุธ, ตุลาคม 01, 2551

เพื่อลูก เพื่อมนุษยชาติ

เพื่อลูก เพื่อมนุษยชาติ
โดยกรรณจริยา สุขรุ่ง

ก่อนจะสาธยายความ ต้องขอชี้แจงมูลเหตุที่ลุกมาเขียนเรื่องที่ไกลตัวมาก ๆ อย่าง การตั้งท้อง บังเอิญได้ยินเสียงอันห่วงใยของเพื่อนชายที่กำลังเตรียมตัวจะเป็นพ่อคน บ่นมาว่าภรรยาสุดที่รักเล่นเกมคอมพิวเตอร์นานมาก เป็นคุณแม่ติดเกม

เราก็เลยพลอยห่วงใยไปด้วย และขอโอกาสนี้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่หมั่นศึกษามานมนาน แต่เห็นจะไม่ได้ใช้กับตัวเอง

การปฏิสนธิ เป็น ความมหัศจรรย์แห่งชีวิต เพราะเป็นโอกาสแห่งชีวิต โอกาสที่จะบรรลุถึงความประเสริฐแห่งความเป็นมนุษย์ของผู้ที่กำลังจะถือกำเนิด มาร่วมเฉลิมฉลองกันเถอะ

เมื่อชีวิตเริ่มเกิดขึ้น เนื้อนาที่เป็นแหล่งบ่มเพาะหล่อเลี้ยง คือ ครรภ์มารดา ควรจะเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่กำลังจะมาร่วมเดินบนโลกกับเรา เราจำเป็นต้องตระหนักในหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ลูกคนนี้ไม่ใช่ลูกของเรา แต่เป็นลูกของโลก ของมนุษยชาติ สิ่งที่เขาเป็น เขาทำ อาจทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น เขาอาจเป็นผู้ที่บำรุงหล่อเลี้ยงคนอื่นๆ ในโลกได้ การหล่อเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง ๆ จึงเท่ากับการดูแลโลก

การดูแลเด็กเริ่มนับแต่วันที่เขาอยู่ในท้องแม่ เรื่อยไปไม่จบสิ้น และทุกคนมีหน้าที่อันประเสริฐนี้ร่วมกัน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่แน่นอนว่า หน้าที่หลัก ตกอยู่ที่พ่อและแม่

แม่ต้องเสียสละนับแต่นาทีนี้ เสียสละความสุขส่วนตัวที่คุ้นชิน คิดให้มากขึ้นถึงความสุข สุขภาวะของทั้งตัวเองและลูก คนเรารับรู้โลกผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ (ความคิดและอารมณ์) ดังนั้นต้องดูแลการเปิด ปิด การรับรู้นี้ให้ดี

ตา --- เคยได้ยินไหมว่า แม่ที่ดูรูปเด็กน่ารัก ๆ ลูกจะเกิดมาหน้าตาดี (แม่ของเราคงไม่รู้เรื่องนี้ น่าเสียดาย) ความหมายของมัน ก็คือ การดูในสิ่งที่เป็นกุศล ภาพที่ดูแล้วเกิดความรู้สึกดี งดงาม เบิกบานใจ เช่นภาพวิวทิวทัศน์ ภาพคนทำความดี ภาพกระตุ้นปัญญา อะไรทำนองนั้น อะไรที่เห็นแล้วทำให้จิตเศร้าหมอง รุนแรง โกรธ เกลียด ก็พยายามเลี่ยงไป ควรลด ละ การดูโทรทัศน์ เพราะเราคุมภาพที่เห็นไม่ค่อยได้

ที่สำคัญหากทำได้ ยิ้มให้ตัวเองทุกเช้า หรือทุกครั้งที่มองกระจก การยิ้มให้ตัวเอง เหมือนการยิ้มให้ลูกด้วยนะ อย่าคิดว่าลูกไม่รู้ เขารับรู้ได้จากพลังงานที่เราส่งให้เขา เราเห็นอะไร เขาก็เห็นด้วยนะ ผ่านทางใจอย่างไรเล่า

หู --- ฟังแต่เรื่องที่ทำให้จิตใจเบิกบาน เป็นสุข สงบ สนุกสนาน ฟังเพลงคลาสสิก เพลงบรรเลง ธรรมชาติ ที่สำคัญพยายามจัดสรรเวลาให้แม่และลูกอยู่กับความเงียบบ้างด้วยในแต่ละวัน การนั่งสมาธิเป็นวิธีที่ดี ทำให้เรานิ่ง สงบ เงียบ และ ถือเป็นการส่งถ่ายพลังที่ดีร่วมกันทั้งแม่และลูก

เราได้ยินอะไร เขาก็ได้ยินด้วยนะ ผ่านทางใจ ดังนั้นนอกจากการเลือกฟังเพลงที่ดีแล้ว ต้องเลือกได้ยินการสนทนาที่ดีด้วย พยายามเลี่ยงการสนทนาที่กระตุ้นความรุนแรง ความโกรธ การนินทา เราอยู่กับการสนทนาที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย ความสงบ พ่อกับแม่ก็ควรพูดคุยกันอย่างอ่อนโยน เมตตากันด้วยนะ

นอกจากการฟังแล้ว ข้อนี้ยังเหมารวมการรับสารทางการอ่านด้วยนะ อ่านสิ่งที่ทำให้ใจดี เบิกบาน สงบนะ อย่าอ่านอะไรที่กระตันเร่งเร้า บีบคั้นใจ เครียดมากนัก อ่านหนังสือเด็ก นิทานสอนใจเตรียมไว้เลยก็ดี จะได้เล่าให้ลูกฟังก่อนนอน บทกวีก็ดีนะ

จมูก ---- การหายใจ หายใจลึกๆ ให้ถึงท้องเข้าไว้ ทุกครั้งที่หายใจลึก เราจะสงบเองโดยไม่ต้องพยายาม ลมหายใจที่ลงลึกทำให้เซลล์ในร่างกายยิ้ม (จริงนะ อย่างลบหลู่) ทำให้สุขภาพดี อารมณ์ดี แล้วยังมีส่วนทำให้คลอดง่ายด้วย

ทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ หายใจลึก ๆ สัก 5 รอบ ทำไปเรื่อย ๆ ทั้งวัน อ้อ หายใจลึก ยาว และ ค่อยๆ หายใจอย่างอ่อนโยน อย่าดึงลมหายใจแรง หากทำได้ ทุกครั้งที่หายใจเข้าลึก ยาว อ่อนโยน คิดส่งความรักให้ลูกด้วย ก็จะวิเศษมาก

ส่วนเรื่องกลิ่นนั้น ก็ไม่มีอะไรมากหรอก โดยหลักแล้ว จิตของเราจะกระเพื่อมเมื่อเกิดสัมผัส หากได้กลิ่นดี ก็เบิกบาน ผ่อนคลาย หากได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ ก็อาจอึดอัด อย่าไปได้กลิ่นบุหรี่นะ หรือควันไฟ ควันรถ พยายามเลี่ยงแล้วกัน

ลิ้น --- การพูดจา คำพูดเป็นลูกของความคิด ดังนั้นหากไม่มีอะไรดีๆ จะพูด ก้อเงียบเสียดีกว่า ระวังคำพูดนะจ๊ะ พูดในสิ่งที่ดีงาม เป็นกุศล เป็นมงคล คือ พูดความจริง (ไม่เอาจริงครึ่งเดียวนะ) พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ให้กำลังใจตัวเอง ให้กำลังใจผู้อื่น งดการนินทาผู้อื่นโดยเด็ดขาด (ซึ่งคุณแม่เก๋ไม่ทำอยู่แล้ว เท่าที่รู้จักกันมา)

พูดบอกรักลูกทุกวัน ทั้งพ่อและแม่นะ มีอะไรดี ๆ บอกลูก คุยกับลูกทุกวัน คุยอย่างที่เราจะคุยกับเพื่อนที่ไว้ใจที่สุด รักที่สุด อย่างนั้นเลย เราให้ความไว้ใจ เชื่อใจ มั่นใจ เคารพในตัวเขาได้แต่วันนี้

การเขียนก็จัดอยู่ในข้อนี้ด้วย ขอให้ระวังสิ่งที่เขียนนะ คล้ายๆ กับการพูดนั้นแหละ เขียนในสิ่งที่ดี เป็นกุศล เบิกบาน และเวลาทำงานเขียนก็พยายามอย่าเครียดมากนัก ชวนลูกคิดและเขียนด้วยก็ได้ เผื่อเขาจะมีไอเดียเด็ด ๆ

การกิน ก็ตามใจเลย แต่เอาอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งแม่และลูกนะ ไม่กินเหล้า ของดอง อยู่แล้วนี่นะ ของหวานเลี่ยงนะ เดี๋ยวลูกดุ การกินอาหารอาจมีผลต่อธาตุในตัวเด็กก็ได้นะ แค่มีส่วน เช่นหากแม่กินอาหารธาตุไฟมาก ลูกอาจเกิดเป็นเด็กธาตุไฟ อาหารธาตุไฟก็ อย่างเช่น พริก ผลไม้ ผักสีแดง อาการรสเปรี้ยวเผ็ด ลำไย ทุเรียน เป็นต้น ธาตุไฟก็ไม่มีอะไรเลวร้ายหรอก แต่ถ้าทานมากไป ก็ทำให้เป็นคนใจร้อนเท่านั้น ดังนั้นควรเลือกทานอาหารให้มีรสชาติกลมกล่อม ผสมผสานและสมดุล ทานร้อนเผ็ดได้ แต่ไม่ทุกมื้อ บางมื้ออาจเป็นรสจืด รสฝาด เป็นต้น

กาย --- การสัมผัส สัมผัสที่ดี นุ่มนวล อ่อนโยน พ่อควรมีให้แม่กับลูกอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เป็นการสื่อสารความรัก ความห่วงใยแบบหนึ่ง

การออกกำลังกาย ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนะ อย่างเบาๆ เราแนะนำ ชี่กง หรือ ไทเก๊ก ขอบอกดีจริง ๆ ง่าย สบาย เบา และได้พลังที่ดีมหาศาล แม่และเด็กจะแข็งแรง และที่สำคัญ นี่เป็นการฝึกจิตกับกายเป็นหนึ่ง และฝึกพลังภายในไปด้วย

เล่น --- เริ่มเล่นกับลูกได้เลย กลับไปเป็นเด็ก เล่นอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีรอยยิ้ม วิ่งเล่น ว่ายน้ำเล่นๆ ไปเที่ยว เล่นเกมเช่น scrabble หรือเกมแบบกล่อง ๆ ประลองไหวพริบปัญญา

ใจ – อันนี้ก็เกี่ยวข้องกับทุกข้อที่พูดไปแล้ว ที่จะเสริมคือ การทำใจให้สบาย สงบ และ เป็นสุข จะด้วยการนั่นสมาธิ หรือ ผ่อนคลายอย่างลึก (จำ total relaxation) ได้ไหม ถ้าไม่ได้ ไว้จัดให้ ทำสมาธิทุกเช้า ทุกคืนหรือ ทุกเวลาที่คิดได้ ทำบ่อยๆ ถี่ ๆ แต่ไม่จำเป็นต้องนานก็ได้ เช่น 5 นาที ทุกครั้งที่นึกได้

สรุปสั้น ๆ
อยู่ในบรรยากาศที่ดี ธรรมชาติ มีพลัง อยู่ท่ามกลางคนที่ทำให้จิตใจเบิกบาน สงบสุข
พูดคุยกับลูกสม่ำเสมอ ฟังเสียงเสานะหู ดูภาพเบิกบานใจ
ยิ้มบ่อยๆ ให้ตัวเอง ให้สามี และให้ทุกคน
ออกกำลังกายเสริมพลังภายใน และพลังจิต
ไปเที่ยวสถานที่ธรรมชาติ สงบสงัดบ้าง อย่างเช่นพาลูกไปปลูกป่ากับแฮปปี้มีเดีย 1-2 พย นี้ ที่หัวหิน
ทำบุญ ทำกุศลทุก ๆ วัน รักษาศีล นั่งสมาธิ เดินสมาธิ ก็ใช้ได้แล้ว
เลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์ (นาน ๆ) งดเล่นเกม ลดการดู โทรทัศน์
งด ลด การอยู่ในที่เสียงดังมาก หรือถ้าจำเป็นการอย่านาน (อย่าไปโรงหนัง หรือ malls)
หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือ ถ้าจำเป็นอย่าใช้นาน เพราะมีผลต่อสมองและหู

หากคุณแม่ทำตามนี้ หรือดีกว่านี้ มากกว่านี้ ก็ขอขอบคุณ เราเพียงหวังให้มีมนุษย์ที่ประเสริฐเพิ่มอีกคนในโลก เป็นพระโพธิสัตว์ได้ยิ่งดี

ด้วยรัก
อาชีพนักข่าว เป็นหนึ่งในอาชีพของพระโพธิสัตว์ อย่างไร?
พระศรีอารยเมตไตร เป็นพระผู้ฟังอย่างลึกซึ้ง ผู้ยื่นมือ ยื่นหัวใจไปยังทุกคนที่ร้องไห้และทุกข์ทน


นักข่าวไม่ใช่หรือที่ต้องออกไปทำข่าวในพื้นที่เสี่ยงภัยมีการปะทะยิงกัน น้ำท่วม มีไฟป่า
อุบัติเหตุ คลุกคลีกับทุกข์กับความจริง รับฟังปัญหาความทุกข์อย่างเข้าอกเข้าใจ และนำเสนออย่างเป็นธรรมเพื่อ ....

สังคมที่อยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีคนที่หัวใจพระโพธิสัตว์อยู่ นักข่าวก็เช่นกัน เราเชื่อเช่นนั้น


นับเวลาที่เราดูโทรทัศน์ ซึ่งน้อยลงทุกวัน เราได้เห็นว่าอาชีพนักข่าว นักสื่อสารมวลชนเป็นอาชีพที่ประเสริฐ เหมือนกับหมอรักษาผู้ป่วย ในแง่ที่ว่า ผู้ที่ทำงานในอาชีพนี้ได้รับโอกาสอันสูงส่งให้อยู่ใกล้ชิดกับทุกขสัจ


เราเห็นความตาย การทะเลาะเบาะแว้งกัน น้ำท่วมและหยาดน้ำตา เห็นการทุจรติฉ้อโกง เห็นการเอารัดเอาเปรียบและเบียดเบียนกัน

ความจริงของโลกเหล่านี้ทำให้เราตระหนักเห็นอะไรบ้างในชีวิต ช่วยขัดเกลาเราให้มีจิตสูง ช่วยเหลือผู้อื่นขึ้นด้วยไหม ทำให้เราปลงกับชีวิตของเราเองได้อย่างไร การเห็นความจริงเช่นนี้ทำให้เรามีความรัก ความห่วงใยในอันที่จะช่วยให้เพื่อนร่วมสังคมพ้นทุกข์อย่างไร

เรานั่งดูนักข่าวพลเมืองทางทีวีไทย และได้เห็นถึงหัวใจคนทำงานสื่อผู้อยู่เบื้องหลัง หัวใจแห่งความกรุณา ความรัก และการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักข่าวพลเมือง

เมื่อคืนได้เห็นมิติการมองว่า มนุษย์เราแม้จะแตกต่างในเรื่องศาสนา คริสต์ และ พุทธ แต่ในชุมชนอุรักละโว้ย (ชาวเล) เรายังมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ รากเหง้าเผ่าพันธุ์ ความเป็นชาวเล ซึ่งเอาสิ่งนี้มายึดโยงกันได้ น่าชื่อใจจริง ๆ ถ้าไม่ใช่นักข่าวพลเมือง จะคิดได้อย่างนี้หรือเปล่านะ


ข่าวสั้น ๆที่เราเสพนี้บำรุงสมอง และหัวใจอย่างยิ่ง


เราคิดต่อไปว่า สำหรับข่าวอื่นๆ เล่า จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ด้วยไหม

เราจะนำเสนอข่าวน้ำท่วม ให้เราเข้าใจชีวิต ปลุกเร้าความกรุณาของเราต่อเพื่อนมนุษย์ได้อย่างไร


สุดท้าย สำหรับเพื่อนนักข่าว
เราทำข่าวไปทำไม คุณค่าและความหาย หัวใจของการทำข่าวอยู่ตรงไหน

การมองเห็น การสังเกตุ และการฟัง เป็นสิ่งที่เราใช้ในการรับรู้และเรียนรู้โลก เราใช้มันเป้นหรือยัง เราเข้าใจโลกแค่ไหน คุรุชาวอินเดีย กฤษณมูรติกล่าวไว้ว่า

การมองเห็นและสังเกตเป็นศิลปะ เมื่อเราเดินเล่น เราไม่เห็นการทะเลาะเบาะแว้ง ความทุกข์ข้างถนน ฝุ่นผงบนฟุตบาท หรือหมาที่กำลังนอนป่วย หากเราเริ่มที่จะเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น เราจะลงมือทำอะไรบางอย่าง


การเห็นเป็นการกระทำ ถ้าเราเห็น เราสังเกต เราฟัง เราจะอดไม่ได้ที่จะลงมือทำ เด็กคนหนึ่งขี่จักรยานบนถนน สักพักเธอหยุดและเดินลงมาเก็บขยะที่เธอเห็นข้างทางไปทิ้ง ก่อนที่จะขี่จักรยานต่อไป


ไม่ต้องคิดว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด หากเห็นให้เป็น หรือเปิดตามอง ให้ลงไปถึงใจ ใจจะบอกให้เราลงมือทำอะไรสักอย่าง


แต่โดยมากที่เราไม่ทำอะไรเพราะตาบอด และหูหนวก ไม่รับรู้โลก แต่อยู่กับความคิด ความกลัว ความฝัน
---- แปลและย่อความ จากกฤษณมูรติ


กรรณจริยา สุขรุ่ง