วันจันทร์, มิถุนายน 04, 2550

คลื่นชีวิตของคนท้องถิ่นกับการเรียนรู้


หวนกลับไปพิจารณาค้นหาข้อมูลที่เป็นความจริงจากอดีต เริ่มต้นตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเอเซียเขตร้อน ซึ่งมีประเทศไทยตั้งแต่สมัยที่ยังมีชื่อว่า “ประเทศสยาม” รวมอยู่ด้วย
แม้แต่ความคิดในการเปลี่ยนชื่อประเทศสยามมาเป็นประเทศไทยในช่วงกลางๆของกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ได้สะท้อนให้รู้ถึงสัญญาณที่บ่งบอกเอาไว้ว่า นั่นคือส่วนหนึ่งของวิถีทางที่จะนำไปสู่สภาวะล่มสลายซึ่งรอคอยอยู่เบื้องหน้า
เริ่มต้นจากการที่กลุ่มพ่อค้าพาณิชย์ชาวตะวันตกได้แล่นเรือข้ามน้ำข้ามทะเลมายัดเยียดสินค้าสำเร็จรูปให้แก่คนในเอเซียเขตร้อน ซึ่งการเดินทางมาครั้งนั้น ก็ไม่เพียงแต่การใช้เรือขนสินค้า หากยังมีการติดปืนใหญ่เข้ามาด้วย
ถ้าประเทศไหนไม่ยอมรับ ก็มักใช้โอกาสบุกรุกถือครองแผ่นดิน ดั่งจะพบความจริงได้ว่า ประเทศพม่า หมู่เกาะสุมาตรา แหลมมลายู อินเดีย และดินแดนในแถบที่เรียกกันช่วงนั้นว่า อินโดจีน ได้ถูกยึดครองไปแล้วเป็นตัวอย่าง
แม้ประเทศสยามจะใช้นโยบายปราณีประนอม จนกระทั่งหลุดรอดจากอิทธิพลอาวุธของชาวตะวันตกออกมาได้ แต่ก็ใช่ว่าควรแก่ความภูมิใจไม่ นอกจากนำผลที่ได้รับเฉพาะหน้ามาคุยโอ้อวดหรือทับถมชนชาติอื่นที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน
มาถึงช่วงนี้เราจะเห็นได้ว่า แม้การสูญเสียรากฐานจิตใจที่ควรจะมีอิสระ ของคนท้องถิ่นส่วนใหญ่ อาจเลวร้ายยิ่งกว่าการสูญเสียทางวัตถุ แม้กระทั่งแผ่นดินถิ่นเกิด ทั้งนี้และทั้งนั้น เนื่องจากการสูญเสียรูปวัตถุเช่นร่างกาย แต่จิตใจก็ยังคงมีอิสรภาพ วันหนึ่งข้างหน้าอาจมองเห็นโอกาสที่จะปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการบนพื้นฐานวัตถุออกมาได้
แต่การสูญเสียอิสรภาพภายในจิตใจย่อมมีผลนำไปสู่การสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำรงชีวิตอยู่อย่างมั่นคง โดยเฉพาะการสูญเสียพื้นฐานการจัดการศึกษาซึ่งแต่ละคนใช้เป็นเครื่องมือเรียนรู้ความจริงอันนับได้ว่า มีโอกาสนำไปสู่การสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งการสูญเสียแผ่นดินถิ่นเกิด อันควรถือว่าเป็นที่รักและหวงแหนของคนท้องถิ่นอย่างสำคัญที่สุด
อนึ่ง ภาพสะท้อนซึ่งบ่งบอกถึงกระแสที่เข้ามาบุกรุก ครอบงำ ภูมิปัญญาคนท้องถิ่น ถึงกับทำให้ออกไปเชิญเขาเข้ามาปูพื้นฐานที่ไม่ใช่ของตัวเอง จากรากฐานความต้องการดังกล่าว ย่อมมีผลทำร้ายจิตใจของคนในชาติ ทำให้เกิดการยึดพลังอำนาจทางใจ เริ่มต้นจากกลุ่มผู้บริหารประเทศของเราเอง
นับตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกที่ผู้บริหารระดับสูงของชาตินำเอาผู้มีอิทธิพลในการจัดการศึกษาจากภายนอกเข้ามาเผยแพร่เงื่อนไขรองรับการจัดการเกี่ยวกับระบบชีวิตของคนท้องถิ่น
หลังจากนั้น ในช่วงเริ่มต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ยังมีการนำบุคคลต่างถิ่นเข้ามาแพร่อิทธิพลในการจัดการศึกษา โดยที่มีการนำเข้ามาเป็นครูสอนเจ้านายในระดับสูงภายในระบอบการปกครองสมบูรณายาสิทธิราช ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวย่อมมีผลถ่ายทอดอิทธิพลรูปแบบของวัฒนธรรมตะวันตกจากด้านบนลงมาสู่ด้านพื้นฐานของเราเอง
ซึ่งในช่วงที่กล่าวมาแล้ว แม้ชุมชนคนท้องถิ่นจะมีทุนเดิมที่สะสมวัฒนธรรมการจัดการศึกษาเริ่มต้นจากพื้นดินซึ่งเป็นธรรมชาติในระดับพื้นฐานของชีวิตคนท้องถิ่นมาแล้ว แต่ก็ยังเปิดใจรับสิ่งแปลกปลอมเข้ามาไว้อย่างไม่อาจต้านทานได้สำเร็จ
ไม่เพียงแค่นั้น เนื่องจากผลอันเป็นที่สุด ซึ่งได้แก่การยึดครองอิทธิพลการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเป้าหมายอย่างสำคัญอย่างปราศจากการรู้สึกตัว แต่ถ้ามองมาจากภายนอก สำหรับผู้ที่สามารถรักษาพื้นฐานจิตใจตนเองเอาไว้ให้มั่นคงเข้มแข็งอยู่ได้ ย่อมรู้เท่าทันต่อพฤติกรรมดังกล่าว เนื่องจากยังคงมองเห็นความสำคัญของทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเกิดและดำรงอยู่บนพื้นดินถิ่นเกิดที่มีผูกพันอย่างลึกซึ้งถึงจิตใจคน
ที่สำคัญที่สุดจากผลการปฏิบัติโดยคนส่วนใหญ่ก็คือ ความแตกแยกภายในชุมชนทุกหมู่เหล่า ซึ่งมีผลนำไปสู่ความหายนะของสังคมท้องถิ่นและประเทศชาติอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ซึ่งสอดคล้องกันกับคำโบราณที่กล่าวฝากไว้ว่า “เงินเข้าที่ไหน ความทันสมัยทางวัตถุเข้าที่ไหน คนซึ่งควรรวมตัวกันเป็นชุมชนเข้มแข็ง ย่อมแตกแยกกันที่นั่น”
ประสบการณ์ชีวิตของคนท้องถิ่นซึ่งเคยผ่านปัญหาระดับดังกล่าวมาแล้วในอดีต นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาใกล้จะแตก น่าจะได้แก่ การที่สภาพของสังคมในขณะนั้น ได้รับการยุแหย่ให้เกิดความขัดแย้งอีกทั้งมีผลทำลายความสามัคคี ถึงขนาดที่นำมากล่าวไว้ให้คิดพิจารณาว่า การแตกความสามัคคีของคนในชาติ ย่อมมีผลนำไปสู่สภาวะล่มสลายของชาติในที่สุด
เรื่องนี้สามารถยืนยันความจริงให้ปรากฏเห็นได้ชัดเจนคือ สมัยที่กรุงศรีอยุธยากำลังใกล้จะแตก ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเกิดได้สองด้าน ด้านหนึ่งเกิดจากการยุแหย่ให้รู้สึกหวงแหนในผลประโยชน์ของตนและพรรคพวก ส่วนอีกด้านหนึ่งเกิดจากนิสัยความเห็นแก่ตัว ซึ่งทำให้มีความขัดแย้งกันบนพื้นฐานผลประโยชน์ โดยที่เรื่องนี้สามารถเห็นได้ชัดเจนมาแล้วทุกยุคทุกสมัย
ขณะนี้การเปลี่ยนแปลงได้ล่วงเลยมาจนกระทั่งถึงช่วงซึ่งวิถีชีวิตของแต่ละคน ภายในสภาพของสังคมลักษณะนี้ มีการระบายความรู้สึกจากผู้คนแทบทุกกลุ่ม แม้บางกลุ่มอาจยังไม่สะท้อนให้เห็นผลได้อย่างชัดเจน วันหนึ่งข้างหน้าไม่เร็วก็ช้าย่อมเห็นได้รู้ได้เองเสมอ
ทุกวันนี้ สำหรับบุคคลผู้มีรากฐานจิตใจอิสระช่วยให้มีความเป็นกลางถึงระดับหนึ่ง มักถูกใช้โดยกลุ่มบุคคลผู้ซึ่งมีความทุกข์ร้อนอย่างหนักจากสภาพความแตกแยก โดยเข้ามาหาเพื่อระบายความในใจให้ได้ทราบจากพื้นฐานที่เป็นความจริงอย่างเป็นธรรมชาติ
จึงช่วยให้มีโอกาสหยั่งรู้ความจริงในสังคมลักษณะนี้ได้อย่างชัดเจน อีกทั้ง ยังช่วยให้มองเห็นโอกาสที่จะนำข้อมูลออกมาเผยแพร่สู่สาธารณชนเพื่อการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง
จากความจริงภายในองค์ประกอบของสังคมที่สะท้อนออกมาปรากฏ ย่อมมีวิถีการเปลี่ยนแปลงร่วมกันบนพื้นฐานความหลากหลายของมนุษยชาติอย่างเป็นวัฏจักร ในบางจุดถึงแม้วันนี้อาจยังไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ แต่จากจุดยืนบนพื้นฐานของอีกด้านหนึ่ง ย่อมสะท้อนออกมาเพื่อสารภาพความจริงให้สาธารณชนเห็นและรู้ได้เอง
ท่ามกลางบรรยากาศการเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบัน สำหรับผู้ที่หยั่งรู้ความจริงถึงระดับหนึ่งแล้ว คงเฝ้ารอคอยต่อไปว่า เมื่อใดวิถีการเปลี่ยนแปลงภายในสังคมยุคนี้จะส่งผลกระทบทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เพื่อจะได้มีผลทำให้คนส่วนใหญ่หวนกลับมาพิจารณาตัวเอง ซึ่งเป็นความหวังที่จะช่วยให้เกิดกระแสซึ่งนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างลึกซึ้งถึงรากฐาน
อนึ่ง ในขณะที่ผู้เขียนบันทึกบทความเรื่องนี้ เป็นเวลาตีสี่ของเช้าวันที่ 3 พฤษภาคม 2550 ทำให้รู้สึกว่าฝนฟ้าอากาศยังคงชุ่มฉ่ำ อีกทั้งมีเงาของเม็ดฝนที่สะท้อนมาจากแรงกระทบพื้นถนนจนทำให้เห็นเป็นประกายระยิบระยับ แต่ใครเลยจะรู้ถึงกาลเวลาในอนาคตว่า สิ่งที่พบเห็นอยู่ในขณะนี้ วันหนึ่งข้างหน้ามันอาจปนเปื้อนด้วยเลือดจากการกระทำระหว่างคนไทยด้วยกันเองซึ่งชีวิตกำลังดำเนินไปถึงจุดจบ เพื่อหวนกลับมายังอีกด้านหนึ่งซึ่งมีทั้งรอยยิ้มความไม่พึงพอใจของคนท้องถิ่นร่วมกันทั้งสองด้าน สมกับการที่สัจธรรมได้กล่าวกันมาแล้วจากด้านหนึ่งว่า “เมืองไทยเป็นเมืองยิ้ม” แล้วอีกด้านหนึ่งล่ะจะเอาไปไว้ที่ไหน

7 พฤษภาคม 2550

ไม่มีความคิดเห็น: