โดย วิสวัฒนา
เคยคิดหรือตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า เราทุกคนเกิดมาเพื่ออะไร และจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เชื่อว่าหลายคน อาจเคยถามตัวเองวันละหลายๆ ครั้ง มีทั้งที่ได้คำตอบและยังคงต้องค้นหาความหมายอย่างที่ต้องการอีกต่อไป
ในเวลาเดียวกันหลายๆ คน อาจไม่เคยถาม ไม่คิดว่าจะถาม และไม่อยากถาม (คงนึกด้วยว่า ผู้เขียนถามทำไม...ไร้สาระ)
แต่หากมานั่งคิดใหม่ เอาตอนเวลาที่ใจสงบๆ ก็น่าสนใจดีนะ น่าสนใจความคิดที่วกวน วิ่งไปมา และพยายามคิดให้ได้คำตอบ
คำตอบที่ว่า ก็เป็นคำตอบที่แต่ละคน อยากจะได้ยิน อยากจะยอมรับนั่นเอง หรืออาจเป็นคำตอบที่คาดว่า น่าจะใช่ สำหรับ “ความหมายของชีวิต” ผู้เขียนเคยได้คุยกับใครหลายคนจึงรับรู้ว่ามีความเห็นในเรื่องนี้แตกต่างกันไป
สำหรับคนที่ใส่ใจและสนใจกับเรื่องของธรรมะและการปฏิบัติภาวนา และมองโลกในแง่ดี ก็จะบอกว่าเกิดมาเพื่อทำกุศล เพื่อให้ก้าวล่วงหลุดพ้นจากความทุกข์ ดียิ่งขึ้นไปกว่านั้น ก็คือ การไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อเป็นทุกข์อีก
ในขณะที่คนซึ่งผ่านชีวิตมาระยะหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครที่มีชีวิตไม่ได้สุขสบายมากนัก หรือต้องประสบเคราะห์ร้ายอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ก็อาจตอบว่า เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
แต่สำหรับคนที่โชคดี เกิดมาด้วยชีวิตพรั่งพร้อมทั้งความสุข ความสะดวกสบาย ไม่ต้องขวนขวายดิ้นรนหรือต้องทำมาหาเลี้ยงตนเองให้เหนื่อยสายตัวแทบขาด ก็อาจได้รับคำตอบว่า เกิดมาเพื่อเสวยสุขและกินบุญเก่าที่สั่งสมตั้งแต่ชาติก่อนๆไว้ดีแล้ว
ส่วนจะทำบุญหรือทำความดีเพื่อสะสมต่อไว้ในชาติหน้า (ถ้ามี) หรือไม่ ก็แล้วแต่ว่า ใครจะเชื่ออย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นคำตอบใดๆ ก็ได้ทั้งสิ้น ไม่มีความผิดถูก ใช่ หรือไม่ใช่ เพราะอาจมีได้หลายคำตอบและหลายเหตุผล ขึ้นอยู่กับมุมในการมองและความเข้าใจ หรือการตีความหมายของ “ชีวิต” อย่างที่แต่ละคนอยากให้เป็น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
ผู้เขียนเองเคยจมอยู่กับความคิดนี้มานานหลายปี แต่เป็นการคิดแล้วผ่าน คิดแล้วทิ้งไว้ เพราะยังไม่ได้คำตอบอย่างที่ใจต้องการหรือเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นคำตอบที่แท้จริง สุดท้ายก็เลยไม่คิด และไม่ได้ตั้งความหวังในอนาคตว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ก็แค่เพียงใช้ชีวิตไปวันๆ สุขบ้าง ทุกข์บ้างไปตามประสา
แต่มาวันหนึ่ง ก็ได้คิด เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องราวที่พลิกผันหลายเรื่องติดๆ กัน แล้วก็ได้คำตอบว่า นี่อาจเป็นสิ่งที่เรามองหาแล้วไม่เจอ ทั้งๆที่อยู่บนปลายจมูกของเรานี่เอง
เพื่อนสนิทคนหนึ่งต้องมาจากไป แม้จะไม่ได้จากตาย แต่ก็แทบไม่มีความหวังสำหรับการฟื้นคืนชีวิตมาอีกครั้ง จากอาการหัวใจหยุดเต้นกระทันหัน ทำให้สมองขาดเลือดและกลายเป็นเจ้าชายนิทรา การเจ็บป่วยครั้งนี้ ไม่มีวี่แววหรือส่งสัญญาณใดๆล่วงหน้าเลย จึงไม่เคยมีการเตรียมตัวในหมู่คนใกล้ชิด แม้จะรู้ว่ามีความเจ็บป่วย แต่คนไข้ก็เชื่อมั่นว่าดูแลตัวเองดีคงไม่มีปัญหา (อาจมีสัญญาณทางกายที่เป็นโรคหัวใจ แต่ถูกละเลยหรือคิดว่าไม่สำคัญ เพราะดูแลตัวเองจนดีแล้ว จนชะล่าใจ กลายเป็นเรื่องใหญ่ในเวลาต่อมา)
ผู้เขียนตระหนักว่า ความตายอยู่ใกล้ตัวเราแค่เอื้อมเท่านั้นเอง แต่ไม่ค่อยมีใครอยากนึกถึง หรืออยากเผชิญหน้ากับมัน และวิธีไม่ยอมรับก็คือการหลีกเลี่ยง ปฏิเสธไม่ให้ความสำคัญ ไม่ใส่ใจ ซึ่งนั่นเท่ากับความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะเมื่อเราไม่ตั้งรับ เวลาที่ความตายหรืออาการเฉียดตายมาถึงโดยเราไม่พร้อม จึงกลายเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลานาน กว่าจะตั้งตัวได้ บางคนต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิต แต่ก็ยังไม่สามารถพลิกฟื้นกลับคืนมาได้อีกครั้ง หรือบางคนก็ไม่มีโอกาสนั้นอีกเลย
ไม่กี่วันถัดมา ก็มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นติดตามมาภายในวันเดียว ทำให้ต่อมความคิดได้ทำงานหนักอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ เช้าวันหนึ่ง ฝนตกตอนกำลังตากผ้าที่ซักไว้แล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ฟ้าแจ่มใสมาก จะ ทำอย่างไรได้จึงต้องตากผ้าหมาด ให้เปียกกลางฝนอีกครั้ง (ไม่นับรวมความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นหลังฝนตก เพราะเพิ่งล้างรถมาได้เพียงวันเดียว)
แล้วอีกไม่กี่นาทีต่อมา ก็ทำแจกันแก้วใส่พลูด่าง ซึ่งตั้งไว้ที่หน้าต่างหลุดมือตกพื้นแตกละเอียด เนื่องจากปิดหน้าต่างกระแทกโดยไม่ได้ตั้งใจ ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อทำความสะอาดและเก็บกวาดเศษแก้วบนพื้นเพื่อไม่ให้มีเศษแก้วตกค้าง
เมื่อไปถึงที่ทำงาน ปรากฎว่า นัดหมายประชุมในวันนั้นต้องเลื่อนกระทันหันเพราะ ประธานที่ประชุมติดภารกิจด่วน แผนการที่วางไว้จึงต้องเปลี่ยนแปลงและโยกย้าย ใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะสะสางเรื่องราวได้เรียบร้อย
แต่ตอนบ่าย กลับมีเรื่องให้ประหลาดใจ เพราะเพื่อนสมัยมัธยมที่ห่างหายการติดต่อกันไปนาน โทรศัพท์มาหาเพื่อนัดทานข้าว และบอกข่าวคราวเพื่อนอีกคน ซึ่งจากไปด้วยอุบัติเหตุ
หลังจากนั้นตอนเย็นระหว่างเดินทางกลับจากสำนักงาน เกิดอุบัติเหตุรถผู้เขียนไปชนคันหน้าเพราะเขาเบรคกระทันหัน หลบรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้รถเราที่ตามหลังมารั้งไม่อยู่ เสยเข้ากลางลำตัวรถ แถมคู่กรณียังขับต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วูบแรกของความคิดในนาทีนั้นคือ โกรธ แบบรู้ตัวว่า โกรธจริงๆ โมโหที่เขาไม่รับผิดชอบและไม่ยอมหยุดรถเพื่อดูความเสียหาย ทั้งๆที่เป็นฝ่ายผิด ผู้เขียนสวมวิญญาณ นางสิงห์สาว เหยียบคันเร่งสุดตัว เพื่อตีคู่รถคันหน้าไปให้ทัน พร้อมๆกับการบีบแตรยาวแบบไม่สนใจใครทั้งสิ้น กระพริบไฟสูงไล่ ทำสัญญาณทุกอย่างให้เขาหยุดรถ ซึ่งก็ไม่เป็นผล (มาคิดย้อนหลังให้ใจหาย เพราะขับรถแบบบ้าระห่ำมาก จนน่ากลัวว่า อาจเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้)
จนกระทั่งรถแล่นมาในระนาบเดียวกัน ประมาณ 400-500 เมตรต่อมา ก็เปิดกระจกรถและให้สัญญาณรถคันนั้นแอบเข้าข้างทาง จึงได้เห็นว่าคู่กรณีเป็นผู้หญิง ซึ่งเขาก็ยอมหยุดรถ แต่เนื่องจากกำลังอยู่บนสะพานข้ามแยก ผู้เขียนจึงบอกให้ลงมาด้านล่างและหยุดรถเพื่อเจรจากัน
พอรถจอดสนิทแล้ว เธอก็ยังอยู่ในรถ ไม่ยอมลงมาคุย จนผู้เขียนต้องเดินไปหา ได้รับคำถามว่า “มีอะไรคะ” พร้อมหน้าตาเหรอหรา ทำให้ความโกรธปรี๊ดขึ้นอีกครั้ง ก็เลยตอบไปว่า คุณเบรครถกระทันหัน ทำให้รถดิฉันชนรถคุณและเสียหาย ลงมาดูหน่อยสิคะ
เมื่อเขาลงมาด้วยท่าทางตกใจ และไปดูความเสียหายที่รถเขาและรถของเรา ประโยคต่อมาทำให้เราใจเย็นลงได้หน่อยหนึ่ง นั่นก็คือ “ ขอโทษที พี่ไม่รู้ว่ารถถูกชน ไม่รู้ตัวเลย”
ถามไถ่ได้ความว่า คู่กรณีไม่รู้สึกเลยว่า รถถูกชน และนี่เป็นครั้งแรกที่มีประสบการณ์เช่นนี้ จึงทำอะไรไม่ถูก กระทั่งการเรียกประกัน ก็ยังไม่คล่อง ต้องโทรไปถามญาติที่บ้าน
อุบัติเหตุครั้งนี้ ทำให้ผู้เขียนต้องยกเลิกงานอีกแห่งหนึ่งซึ่งกำลังรออยู่ เพราะไปไม่ทันเวลา เดือดร้อนต้องหาคนอื่นมาทำงานแทน แต่ก็ทำให้ผู้เขียนได้คิดอีกหลายเรื่อง ระหว่างนั่งรอประกันมาถึง ซึ่งประกันของคู่กรณีมาช้ามาก เจ้าหน้าที่ประกันภัยรถของผู้เขียน ถามว่า เขายอมรับผิดหรือเปล่า ผู้เขียนก็บอกว่า ไม่ได้ถาม แต่ก็เห็นเขาประสานงานอยู่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
กว่าหนึ่งชั่วโมงที่ต้องนั่งรอเจ้าหน้าที่ประกันข้างถนน ทำให้มีเวลานั่งทบทวนอารมณ์และหวนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ผู้เขียนจึงได้เรียนรู้เรื่องสำคัญหลายประการ
รู้ว่าในวันนั้น อารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง สั่นไหวและขึ้นลงตลอดเวลา ไม่ได้มีแม้ชั่วขณะที่จะอยู่นิ่งๆ เพราะมีสิ่งเร้ามากระทบมากมาย และส่วนใหญ่คือ อารมณ์ด้านร้าย ไม่ว่าจะเป็น ความหงุดหงิด หัวเสีย โกรธ ผิดหวัง และโมโห แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อใจสงบลง ได้ครุ่นคิดมากขึ้น ก็มีอารมณ์ใหม่เข้ามาคือ การลดความโกรธ ใจเย็นลงและให้อภัยในเวลาต่อมา ทั้งเจ้าหน้าที่ประกันภัยที่มาช้า เนื่องจากเกิดเหตุอื่นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน พนักงานไม่พอจึงต้องเคลียร์งานแรกให้แล้วเสร็จก่อน ถึงจะมาได้ ไม่ได้เป็นสาเหตุจากบริการที่ล่าช้าหรือไม่รับผิดชอบแต่อย่างใด(ก่อนหน้านั้นก็ถูกแอบบ่นในใจเป็นกระบุงไปแล้ว ตำหนิการให้บริการไปต่างๆนานา ทั้งเราและคู่กรณี) และคู่กรณี ซึ่งไม่รู้ตัวว่ารถถูกชน แถมด้วยอารมณ์เสียใจและรู้สึกผิด เพราะด่วนไปตำหนิกล่าวโทษ โดยไม่ได้รอฟังเหตุผลหรือข้อเท็จจริง
เป็นการด่วนสรุป และคิดไปเองล่วงหน้า ไม่นับความบุ่มบ่ามใจร้อน ที่เร่งความเร็วรถเพื่อไล่ตามคันหน้า จนไม่นึกถึงความปลอดภัยของตัวเอง โชคดีหนักหนาที่รอดมาได้โดยไม่เกิดเหตุซ้ำซ้อน
คิดได้ดังนั้น สติจึงกลับมาอยู่กับตัว หลังจากพลุ่งพล่าน เตลิดไปกับหลากหลายอารมณ์ตลอดทั้งวัน ความโกรธ หรือหงุดหงิด ที่ควรจะมีกับเหตุที่เกิดขึ้นจึงไม่เกิด และไม่ได้โทษสิ่งที่ไม่คาดฝันทั้งหลายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ผู้เขียนรู้สึกว่า เราเองก็มีส่วนให้เขาต้องเสียเวลา เพราะหากรถมีประกันชั้นหนึ่ง ก็อาจไม่ติดใจและแยกย้ายกันไปก็ได้ แต่เมื่อดึงเรื่องยืดเยื้อจึงต้องกระทบไปหลายส่วน
พอยอมรับดังนั้นได้ จิตใจจึงสบายขึ้น อารมณ์ด้านร้ายก็ไม่สามารถทำลายหรือรบกวนจิตใจผู้เขียนได้อีก และมองเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายลง ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์อีก รวมไปถึงการต้องเสียเวลาอีกหลายวันหลังจากนั้นที่ต้องเอารถเข้าอู่ซ่อม แต่ใช้เหตุการณ์นี้เป็นบททดสอบเพื่อการรู้จักและฝึกตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
ถอยเวลาย้อนกลับไปที่เหตุการณ์อื่นๆซึ่งเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน ก็พบว่าล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องอยู่นอกเหนือความคาดหมาย ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น จึงไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้รับ มือล่วงหน้า ในเรื่องดีที่เป็นบวก ก็ทำให้จิตใจยินดีปรีดา แต่สำหรับเรื่องร้าย สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่บรรเทา เยียวยาและแก้ไขไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้นเอง โชคดีที่เหตุส่วนใหญ่ สามารถแก้ไขได้โดยไม่เกิดความเสียหายมากมายนัก และไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
เรื่องที่เหนือความคาดหมาย ก็คือสิ่งที่เราไม่รู้ การไม่รู้ ทำให้อาจไม่ได้เตรียมตัวตั้งรับสถานการณ์ และเกิดเป็นความกลัวในเวลาต่อมา นำไปสู่อารมณ์และความรู้สึกอื่นๆอีกมากมาย เช่น หดหู่ เสียใจ เศร้า หวงแหน หงุดหงิด โกรธ อาลัยอาวรณ์ ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ก็จะทำให้ยืนหยัดอยู่ได้ยาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่เป็นบวก
ในแต่ละวัน เคยนับกันไหมว่า เราได้เจอเรื่องนอกเหนือความคาดหมายกันสักกี่เรื่อง ดี หรือร้ายมากน้อยกว่ากัน และเราจัดการกับเรื่องที่เข้ามาได้อย่างไร
หากใครสามารถรู้เท่าทัน และดูแลเหตุที่เข้ามากระทบใจของเราได้ ก็ถือเป็นโชคและบุญอันยิ่งใหญ่ เพราะจะสามารถประคองใจ ไม่ให้ซัดส่ายจนกลายเป็นคนไร้สติ และอาจนำไปสู่การกระทำอื่นๆที่ให้ผลอันยากจะคาดเดา
วาบความคิดสุดท้ายที่เข้ามาในจิตใจ นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า และที่ท่านติช นัทห์ ฮัน เคยบอกไว้ ว่าให้อยู่กับปัจจุบันขณะ เพียงแค่ชั่วลมหายใจ เข้า- ออก
การอยู่กับปัจจุบันขณะ มีสติ มีชีวิตเพื่อรับมือกับเรื่องที่คาดไม่ถึง นี่กระมัง ที่เป็น “ความหมายของชีวิต” ของคนหนึ่งคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้