วันพุธ, มกราคม 31, 2550

ชีวิตและความผูกพัน



ใครก็ตามที่มีจิตใจดีงาม แม้กาลเวลาผ่านไป...ผู้คนก็ยังจดจำ
เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2549 ผมได้เดินทางไปร่วมพิธีศพของคนๆ หนึ่ง เย็นวันนั้นฟ้าหลัวแต่บ่ายอ่อน กระทั่งตกหนักชนิดไม่อาจแหงนมองน้ำฟ้าที่ถั่งโถมโน้มตัวลงมา คล้ายจะบอกคนทุกผู้ที่เดินทางยังงานศพว่า อย่าเพิ่งทำลายร่างของใครคนหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่ในโลง ด้วยความอาลัยอาวรณ์ของใครบางคนไม่อยากให้เขาจากโลกนี้ไป ผมรู้จักคนที่นอนสงบในโลงไม้เป็นอย่างดี...เขาชื่อคุณสนิท เพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุดของครอบครัวเรา กว่าสิบปี หลังจากผมกับพ่อและแม่ตัดสินใจปลูกบ้านแถวรังสิต เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดติดกันมากที่สุดก็คือบ้านของคุณสนิท ชุมชนแถบนั้นอยู่เยื้องป้ายหยุดรถไฟคลองรังสิต ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนทำงานรถไฟเช่นคุณสนิทจะปักปลูกเรือนไม้ใกล้วิถีแห่งงานการของตัวเอง
คนทำงานกับพาหนะระบบรางคนนี้ เคยออกจากบ้านไปทำงานยังสถานีรถไฟหัวลำโพงเป็นประจำ เล่าขานว่าก่อนจะเป็นหัวหน้าหน่วยสื่อสารของการรถไฟแห่งประเทศไทย เขาต้องตระเวนไปตามต่างจังหวัดมานักต่อนักเพื่อจัดการให้ระบบการเดินรถของเจ้าม้าเหล็กสะดวกปลอดภัย จนแทบจำไม่หวัดไม่ไหวว่าเคยไปเยี่ยมเยือนท้องถิ่นใดบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ลาออกจากงานประจำ กลับมาปักหลักอยู่กินกับเงินบำเหน็จก่อนวัยเกษียณ เนื่องเพราะภรรยาล้มป่วยด้วยหลายโรคที่รุมเร้า
นับครั้งไม่ถ้วนที่ผมเดินผ่านหน้าบ้านของคุณสนิทแล้วได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเล็ดลอดออกมาจากบ้านไม้สองชั้นของเขา เป็นเสียงกรีดร้องของหญิงวัยกลางคนที่แทบจับใจความไม่ออก เมื่อเผลอมองภายในบ้านก็แทบตะลึงงัน หลังจากเห็นภรรยาของคุณสนิทควงมีดดาบเล่มใหญ่กวัดแกว่งอาละวาดไปทั่ว เหมือนจะไปรบทัพจับศึก ทั้งที่คนตรงหน้าก็คือ สามีผู้ใจงาม...
...ใจงามตรงที่นอกจากจะลาออกจากงานเพื่อดูแลภรรยาอันเป็นที่รักแทนลูกทั้งสองคนแล้ว เขาไม่เคยนึกรังเกียจภรรยา หรือหายหน้าไม่พานพบยามเมื่ออาการทางประสาทของเธอกำเริบ แต่กลับเกลี้ยกล่อมให้ใจเย็น รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งและคอยดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด
นอกจากอาการทางประสาทแล้ว ภรรยาของเขายังป่วยด้วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง จนฝ่าเท้าสองข้างปูดบวมเป็นแผลแตกยากจะขยับก้าว ตรงข้ามกับสุขภาพของคุณสนิทที่เอาใจใส่ดูแลตัวเองนับแต่ยังหนุ่มๆ เขาไม่เคยทำตัวสำมะเลเทเมา ดื่มสุราเหล้าขาวเหมือนชาวบ้านในแถบถิ่นเดียวกัน
อาการทางประสาทของภรรยานับเป็นเรื่องสุดวิสัย ยากจะทำให้ผู้ป่วยกลับคืนสู่ภาวะดังเดิม ทว่าคุณสนิทก็ยังไม่เลิกล้มความพยายามที่จะทำให้เธอกลับมาเป็นปกติ เขายืนยันหนักแน่นว่าในยามที่เธอครองสติได้ เธอก็รักเขามาก รักจนไม่ยอมให้เขาอยู่ไกล เขาเคยเล่าให้ผมฟังว่าหลายหนที่เขานำตัวภรรยาไปส่งห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเพราะความดันกำเริบ ภรรยาของคุณสนิทมักจะร้องหาเขาเมื่อต้องห่างกัน แม้จะเป็นเวลาชั่วขณะก็ตาม การเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ทำให้ใครต่อใครมักกล่าวอยู่ร่ำเรื่อยว่า ภรรยาของเขาคงจะเป็นฝ่ายลาโลกไปก่อน
แต่แล้ว...วันแห่งต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องไปงานศพของคุณสนิทก็เดินทางมาถึง
คืนก่อนที่คุณสนิทจะลาจาก อาการทางประสาทของภรรยาได้กำเริบอย่างหนัก ผมไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น ทราบเพียงว่าคุณสนิทนำตัวภรรยาส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน แม้จะเป็นช่วงเวลาประมาณตีสาม แต่เขาก็ต้องฝ่าความมืดออกไปตระเวนหารถรับจ้าง เนื่องจากครอบครัวของเขาไม่มีรถส่วนตัว หลังจากได้รถเช่า เขารีบนำตัวภรรยาขึ้นรถไปยังโรงพยาบาล ระหว่างนั้น เจ้าของรถเช่าสังเกตอาการหืดหอบของคุณสนิทปรากฏเป็นระยะ จนเมื่อรถเช่าวิ่งเข้าสู่ประตูรั้วโรงพยาบาล ภรรยาของคุณสนิทจึงเข้ารับการรักษาอย่างปลอดภัย
แต่ใครจะเชื่อว่าหลังจากผู้เป็นที่รักเข้าห้องฉุกเฉินได้เรียบร้อย คุณสนิทก็ล้มลง ห้องไอซียูที่เต็มด้วยผู้ป่วยปางตายจึงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งราย นอกเหนือจากภรรยาของคุณสนิทที่นอนพักอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง ร่างของคุณสนิทก็นอนแน่นิ่งอยู่อีกมุมหนึ่งเช่นกัน โดยเธอไม่อาจรับรู้ว่าสามีของตนกำลังเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่า จวบเช้าวันพรุ่ง คุณสนิทก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เป็นการจากไปที่เร็วมาก เร็วเสียจนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเมื่อถึงที่สุดแล้ว โชคชะตาจะเล่นตลกอะไรกับครอบครัวนี้อีก
ทันทีที่ลูกทั้งสองของคุณสนิทได้รับทราบข่าวร้าย พวกเขาจึงปิดเรื่องการตายของคุณพ่อไม่ให้ผู้เป็นแม่ทราบเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย ลูกทุกคนร่ำไห้เสียใจเมื่อรับทราบว่าพ่อจากไป ทว่าฉับพลันก็ต้องเช็ดน้ำตาแล้วแสร้งพูดคุยกับแม่อย่างปกติที่สุดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาบอกแม่ว่าพ่อเดินทางมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลไม่ได้เพราะติดธุระ ทั้งที่ความจริง ญาติมิตรอีกกลุ่มกำลังแอบนำร่างของคุณสนิทออกจากห้องผู้ป่วยฉุกเฉินห้องเดียวกัน นำไปใส่โลงแล้วตั้งวางเพื่อรอสวดอภิธรรมบนศาลาวัด
วันสุดท้ายของร่างในโลง ผมได้เข้าร่วมงานฌาปนกิจศพ ท่ามกลางห่าฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่เกรงใจ วัดแห่งนั้นเป็นวัดเล็กๆ อยู่ห่างจากตัวเทศบาลเมืองพอสมควร วันนั้นมีผู้เข้าร่วมงานศพอย่างมืดฟ้ามัวดิน ทั้งชาวบ้านละแวกใกล้ และคนทำงานรถไฟผู้เป็นเพื่อนร่วมงานของคุณสนิท
ระหว่างที่ศพกำลังทำพิธีเผา พลังเพลิงของเปลวไฟพุ่งพวยขึ้นจากเตาเผาศพเก่าๆ จนเห็นควันดำลอยคว้างบนทะเลฟ้า เมฆหนาก่อตัวเป็นหย่อมใหญ่ก่อนที่ห่าฝนอีกระลอกจะซัดโถมเหมือนจงใจทำลายพิธีศพ คล้ายฟ้าดินต้องการให้คนดีเช่นคุณสนิทยังมีชีวิตอยู่บนโลก ขัดแย้งกับสัปเหร่อที่เร่งไฟให้เร้ารุมร่างคนดีในโลงไม้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ผมขอไม่บอกว่าหลังจากร่างของคุณสนิทเหลือเพียงเถ้ากระดูก ลูกๆ ของคุณสนิทได้บอกข่าวการเสียชีวิตให้ผู้เป็นแม่ได้ทราบหรือไม่ เพราะประเด็นใหญ่ของเรื่องทั้งหมด คือ “สิ่งกระตุ้นและเน้นย้ำให้ทุกคนรำลึกถึงความไม่แน่นอนของชีวิต”
ดังตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยป่วยไข้ กลับต้องจากไปอย่างกะทันหัน ตรงข้ามกับผู้ที่เจ็บออดๆ แอดๆ เต็มทั้งโรคกายโรคใจ แต่สุดท้ายกลับต้องลืมตามองโลก เพื่อซึมซับความเศร้าของตัวเองเรื่อยไป
คล้ายว่าธรรมชาติมักจะเล่นตลกกับชีวิต หากที่แท้...ชีวิตต่างหากที่เล่นตลกกับธรรมชาติ
ด้วยธรรมชาติเป็นสิ่งที่ซื่อตรงต่อคนทุกผู้ ด้วยหน้าที่หลักของธรรมชาติคือการมอบสิทธิให้มนุษย์ได้เติบโตบนโลก
โลกที่มีความไม่แน่นอนเป็นสัจธรรม
ทว่าชีวิตที่เต็มด้วยความไม่แน่นอนนั้น กลับต้องพ่ายแพ้แก่ความรักความผูกพัน ซึ่งจีรังยั่งยืนกว่าร่างรูปที่มอดไหม้นับร้อยนับพันทวี

ชีวิตรื่นรมย์ // ฉบับ 9 ม.ค. 50
โมน สวัสดิ์ศรี
สนับสนุนโดย กลุ่มสื่อสร้างสรรค์ และศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

ไม่มีความคิดเห็น: