เช้านี้ ข้าพเจ้าตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกสบายใจ เบิกบาน ตั้งใจว่าวันนี้ เราจะทำงานอย่างรื่นรมย์ ไม่เร่งรีบ ไม่เร่าร้อน แม้จะมีงานเต็มมือ เราก็จะทยอยทำไปทีละเรื่องทีละอย่าง ทำไปพักไป หาความสุข สนุกเล่นให้กับชีวิตคั่นกับการทำงาน
อาจด้วยใจที่สบายๆ เช่นนี้กระมังที่ทำให้ข้าพเจ้ากล้ากดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งหมายมั่นไว้ในใจนานแล้วว่าต้องโทรไปพูดคุยด้วย
และการพูดคุยครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็น “เงา” ที่แอบซ่อนตัวอย่างเร้นลับที่สุดอันหนึ่งในใจ
กว่าหนึ่งเดือนแล้วที่ข้าพเจ้ารู้ข่าวความเจ็บป่วยของเพื่อนคนหนึ่ง หมอวินิจฉัยว่าเธอมีก้อนมะเร็งในมดลูก
ตอนนั้น ใจของข้าพเจ้าหนักอึ้งมึนชา
แม้จะรู้ว่า มะเร็งเป็นความเจ็บป่วยที่รักษาให้หายได้ แต่ก็อดรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้ อยากส่งกำลังใจ หรือหากทำอะไรได้มากกว่านั้นก็ยินดี ทว่าข้าพเจ้ากลับไม่ได้พยายามที่จะติดต่อเพื่อนคนนี้ ไม่ว่าจะทางโทรศัพท์หรืออีเมล์
ที่ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าเพิ่งมาตระหนักในวันนี้เองว่า การที่เราไม่ทำอะไรเลยที่ผ่านมานั้น เป็นความพยายามของใจที่อยากลืมเลือนเรื่องนี้ไปเสีย ไม่อยากรับรู้ว่าขณะนี้เกิดอะไรขึ้นจริง
เราไม่กล้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ ความกังวล และความกลัวของตัวเอง
เรากลัวเพื่อนเป็นทุกข์ เรากลัวเพื่อนต้องจากเราไป และเมื่อลองเข้าไปค้นใจให้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิด ยิ่งพบอีกว่า ที่แท้แล้ว เรากลัวความเจ็บป่วยและความตายของเราเองต่างหาก
สถานการณ์ที่เพื่อนเผชิญอยู่ คือเงาสะท้อนให้เราเห็นอนาคตของเราเอง
สักวัน เราก็อาจต้องพบพานเรื่องทำนองเดียวกันนี้ คือความเจ็บป่วยที่เราไม่ปรารถนา
คุณก้อนมะเร็งของเพื่อนดึงให้เรากลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้งว่า เราทุกคนต่างมีชะตากรรมเดียวกัน เราเป็นทั้งเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเจ็บ ร่วมตาย อย่างแท้จริง
เห็นเช่นนี้แล้ว ทำให้ไม่อยากโกรธเกลียดใครเลย เพราะเราอยู่ในเรือที่กำลังจะล่มอยู่รอมร่อเหมือนๆ กัน
ในยามวิกฤตเช่นนี้ เราจะทะเลาะกัน ยึดมั่นความถูกผิดในความเห็นของตน กอบโกยเอาประโยชน์ใส่ตัวและโยนชั่วใส่คนอื่น จมดิ่งหายตามกันไปทั้งหมด หรือเราจะช่วยกันหาทางรอด ประคับประคองให้พ้นทุกข์ไปด้วยกันทั้งหมด
น่าสนใจว่า เมื่อเราเริ่มรู้สึกยอมรับความกลัว น้อมรับเรื่องที่เราไม่อาจควบคุมได้ เรากลับมีพลัง ความกล้า ความเข้มแข็งที่จะเผชิญกับชะตากรรมที่เป็นไปร่วมกัน
ข้าพเจ้าอาจจะไม่ได้เจ็บป่วยไปกับเธอ แต่ เราจะดูแลชีวิตร่วมกัน
ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความถึงชีวิตของเพื่อนคนนี้เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงชีวิตของข้าพเจ้า และ ชีวิตอื่นๆ ในโลกใบนี้ด้วย ทั้งปัจจุบันและอนาคต
ชีวิตเป็นเหมือนไข่ที่เปราะบาง อาจแตกสลาย ล้มตายได้ทุกเมื่อ
ชีวิตเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในเส้นลากของกาลเวลาที่โลกและจักรวาลดำรงอยู่
แต่จุดเปราะบางของชีวิตนี้เองที่ให้พลังในการสร้างสรรค์อย่างมหาศาลกับตัวของมันเอง
ชีวิตทั้งหลายในปัจจุบัน เกิดและดำเนินไปได้ก็เพราะชีวิตทั้งหลายในอดีต
ชีวิตโลกสมัยใหม่สนุกสนานได้เพราะบุคคลในอดีตที่คิดค้นไฟฟ้า หลอดไฟ โทรศัพท์ และพลังงาน
เรามีอากาศที่หายใจได้ น้ำที่ดื่มได้ ทั้งยังสามารถผ่อนคลาย ชื่นชมธรรมชาติได้ นั่นก็เพราะบรรพบุรุษของมนุษยชาติผู้ดูแลรักษาป่าไม้ สายน้ำ และมหาสมุทรให้แก่เรา
และชีวิตทั้งหลายอันจะเกิดขึ้นในอนาคต ลูกหลานของเรา พวกเขาก็จะดำรงอยู่ตามปัจจัยและ สภาพแวดล้อมที่เราทุกคนในปัจจุบันช่วยกันสร้างและทำลายเหลือไว้ให้
เพื่อนคนนี้ทำงานด้านพัฒนา สร้างสรรค์ความดีงามให้สังคม ครอบครัว เด็ก และเยาวชน แม้เป็นเพียงคนเล็กๆ แต่ชีวิตของเธอคือพลังการสร้างสรรค์สำคัญ เฉกเช่นทุกชีวิตบนโลก กระทั่งความท้าทายที่เธอกำลังเผชิญก็เป็นสิ่งที่เราหลายคนร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันได้
หมอแนะนำให้เธอใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพทางอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์เครียดที่ควรหลีกเลี่ยง
งานวิจัยมากมายชี้ว่า ภาวะความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยต่างๆ รวมทั้ง ก้อนมะเร็งด้วย แต่เธอกลับบอกว่า ภาระหน้าที่ที่เธอต้องทำและยังละทิ้งไม่ได้นั้น อาจทำให้เกิดความเครียดได้ เลยไม่รู้ว่าจะทำงานโดยไม่ให้เกิดความเครียดได้อย่างไร
โจทย์ของเธอคือโจทย์ของข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน
ข้าพเจ้ากลับมาทบทวนการทำงานและการใช้ชีวิตของตัวเองอย่างจริงจังว่า ตัวเองได้สร้างปัญหาอะไรให้กับตัวเองบ้าง ข้าพเจ้าสะสมความเครียด อารมณ์ทางลบไว้กี่มากน้อย และกำลังบ่มเพาะก้อนมะเร็งไว้กี่ก้อนแล้ว
แน่นอนว่า เราอาจต้องทำงาน สัมพันธ์กับผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หลายอย่างที่ไม่เป็นไปตามปรารถนา เราจะประคองใจไม่ให้เกิดความเครียดหรือสร้างความเจ็บป่วยให้แก่ตัวเองได้อย่างไร
หากเราแบ่งเวลาสักช่วงเพื่ออยู่เงียบๆ ตามลำพัง ให้ใจได้ใคร่ครวญวิถีที่เราทำงานและดำเนินชีวิตในแต่ละวันว่าเรากำลังบั่นทอนสุขภาพ ทำร้ายร่างกายและจิตใจของเราเอง รวมทั้งคนรอบข้างแค่ไหน เราอาจจะปรับเปลี่ยน/ปรับปรุงชีวิตใหม่เสียก่อนที่โอกาสนั้นจะริบหรี่ลง
หากเราเพิ่มพื้นที่ความสุขในหัวใจ เพิ่มในตารางเวลาของแต่ละวันได้ พื้นที่ความเครียดก็อาจถูกเบียดให้เหลือน้อยลงได้
หากใครรู้ตัวว่ากำลังเครียด โปรดเมตตาและกรุณาตัวเองให้มากๆ ทำอะไรก็ได้ให้ความรู้สึกนั้นคลายตัวลง เช่น ร้องเพลงไปด้วย ฟังเพลง อ่านหนังสือที่ชอบ อยู่กับต้นไม้ เล่นกีฬา ดูหนัง ไปเที่ยว พักบ้าง เป็นต้น
และท้ายที่สุด เราอาจจะต้องเข้าไปสืบค้นความเครียดว่ามาจากอะไร เราเครียดเรื่องอะไร ทำไมจึงเครียด สำหรับข้าพเจ้า ความเครียดของตังเองเกิดจากความคาดหวัง ความกลัว ความวิตกกังวล ความอยาก ความอิจฉา หรือแม้กระทั่งความรู้สึกโดดเดี่ยว และอีกมากมาย
ถามคำถามกับตัวเอง สาวไส้เรื่องราวของความเครียด แล้วเราอาจค้นพบในที่สุดว่า ภายในปล้องไผ่ที่เรายึดถือ เห็นว่าจริงนั้น สุดท้ายก็เป็นเพียงความว่างเปล่า
ขอบคุณความเจ็บป่วยของเพื่อนที่เอื้อเฟื้อให้ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ได้ทบทวนสารัตถะแห่งชีวิต และเห็นแนวทางที่จะก้าวเดินต่อไปอย่างมีความหวังและความหมาย
เมื่อมีมิตรภาพและการร่วมทุกข์ ความสุขก็จะเบ่งบาน
ชีวิตรื่นรมย์ // โพสต์ทูเดย์ // ฉบับอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2550
กรรณจริยา สุขรุ่ง media4joy@hotmail.com
กลุ่มสื่อสร้างสรรค์ www.happymedia.blogspot.com
สนับสนุนโดย ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 17, 2550
ถึงเพื่อนผู้กำลังเจ็บป่วย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น