“It may be so. But not always so.”
“ก็อาจจะใช่ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป”
คำพูดสั้นๆ จากหนังสือ “Not Always So” ของท่านชุนเรียว ซูซูกิ โรชิ อาจารย์เซ็นชาวญี่ปุ่นที่ทำให้เซ็นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในประเทศอเมริกา ยังคงสดใหม่อยู่เสมอ
ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าเราจะยึดติดกับสิ่งที่เราเชื่อว่าใช่จนทำให้ตัวเอง คนรอบข้าง และสังคมเดือดร้อน บ่อยครั้งที่เห็นคนโต้เถียงกันจนหน้าดำคร่ำเครียดในที่ประชุม บ้างก็โกรธเคืองกันแบบปล่อยวางไม่ลง ให้อภัยกันไม่ได้
เบื้องหลังฉากของละครชีวิตที่เราทุกคนกำลังร่วมแสดงกันอยู่นี้ มีผู้กำกับมือทองที่ชื่อว่า “คุณความเชื่อ” หรือ “คุณความคิดเห็น” อยู่ที่นั่นเสมอโดยไม่ต้องเชื้อเชิญ เพียงผู้กำกับกระซิบเบาๆ ผ่านความรู้สึกนึกคิดเท่านั้น ใครต่อใครก็พร้อมตีบทให้แตกกระจุยได้ทันที โดยไม่เคยตั้งคำถามกับบทที่ได้รับ
มันคุ้มแค่ไหนที่พลีใจพลีกายให้กับ “คุณความเชื่อ” ในเมื่อสิ่งที่เราเชื่อหรือความเข้าใจของเรานั้นก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป
ท่านชุนเรียว ซูซูกิ กล่าวถึงการยึดติดในนิยาม ความรู้ และความหมายเดิมๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริง
ท่านยกตัวอย่างของน้ำ คนส่วนใหญ่ย่อมคิดว่า “น้ำก็คือน้ำ” ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ทั้งถูกและไม่ถูกในขณะเดียวกัน
สิ่งๆ หนึ่งอาจมีความหมายที่แตกต่างกันได้มากเมื่อมองจากมุมที่แตกต่างกัน สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นน้ำนั้น คือบ้านของปลา คืออาหารของต้นไม้ และอาจจะหมายถึงชีวิตของคนที่อยู่ในพื้นที่แห้งแล้งกันดาร
ผมยังจำได้ถึงความทุกข์ของเด็กหญิงชั้นประถม 4 ที่เกิดขึ้นจากความรักและความหวังดีของคุณแม่เธอเอง
ในการสัมภาษณ์แบบเป็นกันเองที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ท่ามกลางเสียงหัวเราะและรอยยิ้มสดใสของเด็กนับสิบคน มีเด็กหญิงตัวจ้ำม่ำมากระซิบข้างหูผมว่า “พี่คะ... หนูอยากตาย”
ด้วยความไม่แน่ใจว่าเธอหมายความเช่นนั้นจริงๆ หรือแค่ล้อผมเล่น เมื่อสอบถามกับคุณครูก็ได้ความว่าเด็กกำลังเครียด และคงอยากระบายความในใจกับใครสักคน
เธอเล่าให้ผมฟังถึงตารางเรียนพิเศษในแต่ละวันที่หนักหนาเอาการสำหรับเด็กชั้นประถม 4 เธอเข้าใจถึงความจำเป็นเพราะคุณแม่จะบอกอยู่เสมอๆ ว่าสมัยนี้การแข่งขันสูง ต้องทุ่มเทให้มาก
ขณะที่ผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองกำลังคุยอยู่กับผู้ใหญ่ตัวน้อยที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ เธอก็ร้องไห้โฮออกมาซะเฉยๆ เธอพูดด้วยเสียงสะอื้นแบบเด็กๆ “หนูไม่อยากเรียนเปียนโน หนูเหนื่อยจริงๆ” เธออยากบอกให้คุณแม่รู้แต่ก็ห่วงว่าจะทำให้คุณแม่เสียใจ แม่บอกเธออยู่เรื่อยว่าแม่รักเธอแค่ไหน ลำบากแค่ไหนก็ยอมเพื่อให้เธอได้มีโอกาสที่ดี
ความรักและหวังดีของเราอาจสร้างความทุกข์ให้คนที่เรารักได้เมื่อเราไม่รู้เท่าทัน จริงอยู่ว่าความรักนำมาซึ่งความสุข แต่ก็ไม่แน่เสมอไป
บางครั้งสิ่งที่ใช่ก็กลายเป็นไม่ใช่ เมื่อเวลาเปลี่ยนไป สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นน้ำในขณะนี้ อาจกลายเป็นไอ เป็นเมฆ ในวันพรุ่ง
น้ำอาจเป็นน้ำ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นน้ำเสมอไป สิ่งที่เราเห็นเป็นความสุขอาจแปลเปลี่ยนเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์เมื่อเวลาเปลี่ยนไป
บ่อยครั้งที่เห็นพ่อแม่จัดสรรความสะดวกต่างๆ ให้ลูกจนเกินงาม โดยไม่คิดว่าสิ่งๆ นั้นจะสร้างผลอะไรในระยะยาว ถ้าโชคดีเด็กเข้าใจก็แล้วไป ถ้าโชคดีเด็กโตขึ้นแล้วหาเงินได้มากเพียงพอโดยไม่ต้องเบียดเบียนใครก็แล้วไป
แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากลูกหลานของเราไม่โชคดีเช่นนั้น ความรักอาจกลายเป็นยาพิษหากเราไม่ตระหนักรู้ถึงผลระยะยาว
“It may be so. But not always so.”
“ก็อาจจะใช่ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป” ทำให้เราคลายความยึดติดกับความเชื่อต่างๆ จนเป็นทุกข์ หรือสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น หากแต่พึงรักษาความสดใหม่ในใจเราไว้อยู่เสมอ ด้วยการมองโลกด้วยสายตาที่สดใสไร้อคติ ฟังเสียงด้วยหูที่ไม่วิพากษ์วิจารณ์ รับรู้ด้วยใจที่เปิดกว้างจากหลากหลายมุมมอง เพียงเท่านี้เราก็เริ่มมีจิตแบบเซ็นอย่างที่ท่านชุนเรียว ซูซูกิ มักกล่าวถึงอยู่เสมอว่า “Zen Mind, Beginner’s Mind” หรือ “จิตแบบเซ็น จิตที่ไม่ยึดติดกับความรู้เดิมๆ” แต่พร้อมเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ เสมอ
ในการขับรถเรายังต้องมองกระจกถึง 3 – 4 บาน เพื่อให้เห็นได้หลากทิศทาง ลองจินตนาการการขับรถที่ไม่มีกระจกส่องหลังและไม่มีกระจกส่องข้าง เราคงต้องขับไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ
แล้วทำไมเรากลับด่วนตัดสินเรื่องอื่นๆ ในชีวิตด้วยมุมมองเพียงด้านเดียว
การเปลี่ยนที่ยืนและมองดูสิ่งต่างๆ ด้วยมุมมองใหม่อาจให้อะไรมากกว่าที่เราคิด
เร็วๆ นี้ได้อ่านบทสัมภาษณ์นักบินอวกาศที่มีโอกาสเห็นโลกจากระยะไกล มีคำพูดที่น่าสนใจอยู่หลายชิ้น
จิม โลเวลล์ นักบินอวกาศในยานอพอลโล่ 8 และ 13 กล่าวว่า “ที่ระยะห่าง 240,000 ไมล์ (หรือ 384,000 กิโลเมตร) จากโลก ผมได้ตระหนักว่าเราโชคดีแค่ไหนที่มีร่างกายเพื่อชื่นชมท้องฟ้า ต้นไม้และน้ำ ... นี่เป็นอะไรที่เราส่วนใหญ่มักละเลย เพราะเราเกิดและโตบนโลก เราเลยไม่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เรามี ผมเองก็คิดเช่นนั้น จนถึงวันที่ผมได้เดินทางออกจากโลก”
อานูเช่ อันซารี นักท่องเที่ยวอวกาศลูกครึ่งอิหร่านอเมริกันที่เพิ่งเดินทางเมื่อปีที่แล้วได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจเช่นกัน “โลกที่ฉันเห็นนั้น ไร้ซึ่งเขตชายแดน ไร้ซึ่งความแบ่งแยกทางเผ่าพันธุ์และศาสนา เธอจะไม่แบ่งแยกว่านี่คือบ้านฉันหรือประเทศของฉัน เพราะสิ่งที่เธอเห็นคือภาพของโลกที่เป็นหนึ่งเดียว”
จริงอยู่ที่ความรู้และความเชื่อต่างๆ ทำให้รู้สึกหนักแน่น มั่นคง ไม่เคว้งคว้าง แต่ “ก็ไม่แน่เสมอไป” เมื่อเราปล่อยวางและไม่ยึดติดกับความเชื่อเดิมๆ จนเกินไป จิตใจเราก็สดใสเป็นอิสระ พร้อมที่จะเห็นโลกในมุมใหม่ๆ แม้จะไม่มีโอกาสได้ออกไปไกลถึงนอกโลกก็ตาม
ชีวิตรื่นรมย์ // โพสต์ทูเดย์ // ฉบับวันอังคารที่ 8 พ.ค. 2550
จิตร์ ตัณฑเสถียร media4joy@hotmail.com
กลุ่มสื่อสร้างสรรค์ www.happymedia.blogspot.com
สนับสนุนโดยศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
วันอังคาร, พฤษภาคม 29, 2550
Not Always So
วันจันทร์, พฤษภาคม 28, 2550
สื่อสร้างสรรค์สัญจรประจำเดือนมิถุนายน ชวนเยี่ยมบ้านนักเขียน “ศรีดาวเรือง”
“ศรีดาวเรือง” เป็นชื่อนามปากกาของคุณวรรณา ทรรปนานนท์ นักเขียนสตรีวัย 64 ผู้สร้างผลงานอย่างต่อเนื่องบนถนนน้ำหมึกตลอดสามสิบปี
ตัวอย่างผลงานของเธอ อาทิ
เรื่องสั้น: แก้วหยดเดียว (2526) บัตรประชาชน (2526) มัทรี (2529) ภาพลวงตา (2532) แม่สาลู (2536)
นิยาย: เนินมะเฟือง (2530) เจ้ากาเหว่าเอย (2531) บุหงา (2549)
งานแปล: การผจญภัยของลุงป๋วย (2522) สมุดปกเขียว (2522) ดอนกิโฮเต้ ฉบับอนุบาล (2522) นิทานฮาวาย (2530) แม่ถ้อยน้ำคำ (2537) ลึกมั้ยนะ (2544) แม่ไม้ (2544) ยุคสมัยไวกิ้ง (2544) ผืนดินออกลูกเป็นเสื้อ (2545) เด็กข้างทางรถไฟ (2547) ความลับในห้องหมายเลข 342 (2547) นิทานของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซ่น (2548) นิทานของสองพี่น้องตระกูลกริมม์ (2548)
ทั้งวิถีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ความมุมานะ และปัจจุบันของเธอ คืออีกตัวอย่างของชีวิตที่ได้พิสูจน์แล้วว่า “การเขียน” คือวิถีชีวิต คือลมหายใจของชีวิต คือการดำเนินชีวิตที่หล่อเลี้ยงทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
ยิ่งหากได้ฟังเรื่องเล่าในชีวิตของเธอจะพบว่า หัวใจของเธอไม่ได้เล็กอย่างร่างที่เราเห็นเพียงภายนอกเลย
ขอชวนเพื่อนๆ สื่อฯ เยี่ยมบ้านคุณศรีดาวเรืองช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน ศกนี้ เวลา 10.30 น. และนำกับข้าวกับปลาไปแบ่งกันทานที่นั่นตามอัธยาศัย
ที่ตั้ง: ดูแผนที่ข้างล่าง
เริ่มต้นที่ปากทางเข้าหมู่บ้านเมืองเอก (ซ.เมืองเอก หรือ ซ.พหลโยธิน 87) ขับรถเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานข้ามทางรถไฟสายเหนือ แต่เราจะไม่ขึ้นสะพาน แต่เบี่ยงซ้ายแล้วลอดใต้สะพานซึ่งบริเวณดังกล่าวจะเป็นหมู่บ้านสลัม ขับรถขนานไปกับทางรถไฟประมาณ 300 เมตร ขอให้สังเกตประตูอัลลอยด์ทางด้านซ้ายมือซึ่งจะอยู่เยื้องกับสะพานรถไฟเล็กๆ เมื่อขับถึงประตูอัลลอยด์ โทร.บอกให้ผมไปรับได้เลย
ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ “คนดีไม่มีวันตาย”
ข่าวการถึงแก่อนิจกรรมของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ อาจทำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจ แต่ก็เพียงระยะเวลาสั้นๆ เพราะท่านกลับมามีชีวิตอีกครั้งในความทรงจำ และในหัวใจของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าได้พบท่านผู้หญิงเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ครั้งเป็นผู้สื่อข่าวหน้า outlook หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์
แม้จะได้มีโอกาสพูดคุยกับท่าน เพียง 2 ครั้งเท่านั้น แต่หญิงชรากิริยาสงบและ สง่า มีเมตตาผู้นี้ ได้ฝากรอยแห่งความประทับใจที่ข้าพเจ้าไม่รู้ลืม
สำหรับข้าพเจ้า ท่านผู้หญิงพูนศุขไม่ได้เป็นเพียงภริยาของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส แต่ท่านผู้หญิงยังเป็นวีรสตรีที่มีคุณงามความดีอยู่ในเนื้อตัวของท่านเองอย่างเพียบพร้อม
ข้าพเจ้าพบท่านผู้หญิงพูนศุขเป็นครั้งแรกในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2537 เป็นวันแรกของอาชีพการเป็นนักข่าว ข้าพเจ้าถูกมอบหมายให้รายงานข่าว วันทำบุญรำลึก วันเสรีไทย ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่โรงพยาบาลจุฬา
ที่นั่น ข้าพเจ้าได้พบกับวีรบุรุษ วีรสตรีที่อยู่เบื้องหลังขบวนการช่วยประเทศไทยให้รอดพ้นจากการตกเป็นผู้แพ้สงครามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เราไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายในสงครามอย่างมหาศาล หรือถูกยึดครองโดยประเทศที่ชนะสงคราม
พิธีการทำบุญเป็นไปอย่างเงียบๆ และเรียบง่าย มีชายและหญิงชรา อดีตเสรีไทย พร้อมลูกหลาน ประมาณ 50 คนมาร่วมงาน บรรยากาศในงานเหมือนงานเลี้ยงในหมู่ญาติมิตรอย่างเป็นกันเอง
ท่านผู้หญิงเป็นคนง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตรอง ให้เกียรติคนทุกคนเสมอกัน ท่านให้ความเอ็นดูข้าพเจ้าเสมือนลูกหลานของท่านคนหนึ่ง ท่านตอบคำถาม ชวนข้าพเจ้ามาร่วมพิธีการทำบุญ
ท่านผู้หญิงพูนศุขมาเป็นประธานในพิธี ไม่ใช่เพราะท่านเป็นภริยารัฐบุรุษปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อตั้งขบวนการนี้ หากแต่ตัวท่านเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกเสรีไทยเช่นกัน
ท่านผู้หญิงเล่าว่า ท่านทำหน้าที่ส่งรหัสข่าวสารทางวิทยุให้ฝ่ายพันธมิตร “ฉันกลัวมาก ถ้าหากพวกเราถูกจับได้ คงต้องตายกันหมด”
คนเหล่านี้ทำความดีในที่ลับ คนมองไม่เห็นและไม่ต้องการป่าวประกาศ
คนที่ปิดทองหลังพระได้ต้องมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ และคนที่เรียบง่ายนั้น แท้จริงแล้ว เป็นคนที่มีความพิเศษในตัวอย่างล้นเหลือ และด้วยความพิเศษของท่าน ข้าพเจ้าจึงอยากรู้จักท่านให้มากขึ้น
2 ปีต่อมา ข้าพเจ้าจึงได้โอกาสเข้าพบและสัมภาษณ์ท่านที่บ้านย่านสาธร
สุภาพสตรีผมสีดอกเลาเดินมาทักทายข้าพเจ้าด้วยรอยยิ้ม ทำให้ข้าพเจ้าหายเกร็งไปบ้าง ท่านแต่งตัวเรียบง่าย นุ่งผ้าถุงและเสื้อสีสันสดใส ไม่มีเครื่องประดับใดนอกจากแว่นตา นาฬิกา และ แหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย
ในขณะนั้น แม้ท่านจะอายุ 84 ปีแล้ว แต่ความทรงจำของท่านก็ยังกระจ่างชัด ไม่มีวี่แววของการหลงลืมแต่อย่างใด ท่านเล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของท่านให้ข้าพเจ้าฟัง ตั้งแต่สมัยยังเยาว์จนกระทั่งชีวิตในวัยชรา
ท่านผู้หญิงเกิดและเติบโตในตระกูลขุนนาง ณ ป้อมเพชร พ่อของท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ แม้จะเกิดในครอบครัวคหบดี แต่ท่านถูกสอนให้ดูแลช่วยเหลือตัวเอง ต้องทำงานบ้านโดยเฉพาะห้องนอนของตัวเอง พ่อของท่านผู้หญิงบอกว่า “เราไม่รู้ว่าวันข้างหน้า จะมีความสุขสบาย หรือ ยากลำบากรอเราอยู่ เราต้องเตรียมตัว”
ท่านผู้หญิงทำอะไรเองมาตลอด แม้ตอนที่ข้าพเจ้าสัมภาษณ์ ก็จะสังเกตเห็นว่า ท่านไม่ได้ร้องเรียกคนมาช่วยให้หยิบโน่นนี่ หรือทำอะไรให้ หากท่านสามารถทำเองได้
ท่านได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ จนกระทั่งอายุ 16 ปี ก็ลาออกมาแต่งงานกับท่านอาจารย์ ปรีดี หนุ่มนักเรียนนอกจากฝรั่งเศส อนาคตไกล สิ่งที่ท่านประทับใจใน “นายปรีดี” คือ “ฉันประทับใจที่เขาเป็นมีความรู้ ความประพฤติดี และ ขยันขันแข็ง”
ท่านผู้หญิงช่วยงาน อาจารย์ปรีดี หลายอย่างตั้งแต่การเตรียมการบรรยายการสอน หรือ การพิสูจน์อักษรหนังสือต่างๆ ที่โรงพิมพ์
ในขณะที่พ่อบ้าน ทุ่มเทเวลา และ แรงกายให้กับบ้านเมือง ท่านผู้หญิงก็เป็นทั้งพ่อและแม่บ้านที่ดูแลจัดการธุระภายในบ้าน โดยไม่ได้เรียกร้อง หรือน้อยใจที่สามีไม่มีเวลาทานข้าว หรือ สนุกสนานกับครอบครัว
“งานของนายปรีดี เป็นไปเพื่อบ้านเมือง มีความสำคัญมากกว่าธุระในครอบครัว ถ้าบ้านเมืองดี มีความสุข เราเองก็จะมีความสุขเช่นกัน ดังนั้น เราจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เอาแต่ความสุขลำพังไม่ได้”
“ฉันโชคดีที่มีสามีที่ดี อุทิศตัวเพื่อประเทศชาติ”
ชีวิตของท่านผู้หญิงพูนศุข และครอบครัวพลิกผันไปตามกระแสการเมืองของโลก และ ภายในประเทศ ไม่ว่าภาวะสงคราม การถูกกล่าวหาด้วยข้อหาร้ายแรงต่างๆ จนต้องลี้ภัยทางการเมืองไปต่างประเทศ และ ความรุ่งเรืองทางการเมืองของท่านอาจารย์ปรีดี ที่ทำงานเป็นเจ้ากระทรวงต่างๆ มากมาย ตั้งแต่กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง จนกระทั่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 และท่านผู้หญิงทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่สามีในฐานะ สตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศ ในขณะนั้น
ความรุ่งเรือง และ ความยากลำบากในชีวิต ไม่ได้ทำให้ท่านผู้หญิงหวั่นไหวเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะท่านเป็นสุภาพสตรีที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และพื้นเพทางครอบครัว ที่ปลูกฝังธรรมให้ท่านตั้งแต่ยังเล็ก
“ฉันไม่ได้เป็นคนทะเยอทะยาน ไม่ตื่นเต้นกับเกียรติยศชื่อเสียง ฉันใช้ชีวิตอย่างที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเราดำเนินชีวิตตามทางสายกลาง จะมีหรือไม่มี เราก็ไม่หวั่นไหว” ท่านกล่าว
คราวที่ท่านอาจารย์ปรีดีต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ ในปีที่รัชกาลที่ 8 สวรรคต ท่านผู้หญิงพูนศุขต้องยืนหยัดฝ่าวิกฤตชีวิตอย่างเข้มแข็งและกล้าหาญ
ท่านถูกควบคุมตัวด้วย ข้อหา ทรยศต่อราชอาณาจักร คราวนั้น สาววัย 40 ปี ไม่หนี ไม่ถอย แต่รอการมาเชิญตัวของเจ้าหน้าที่อย่างสงบ ในภาพถ่ายประวัติศาสตร์ เราจะเห็นสุภาพสตรีเดินอย่างองอาจ สง่างามท่ามกลางวงล้อมของเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธ
แม่ของท่านผู้หญิง บอกว่ารู้จักเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงในสมัยนั้น และจะขอให้ช่วย แต่ท่านผู้หญิงปฏิเสธ “ฉันบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร และจะไม่คุกเข่าร้องขอความเมตตาจากใคร”
ท่านอยู่ในห้องคุมขังเป็นเวลา 84 วัน ในนั้นมีเพียงเสื่อนอน และ โต๊ะ 1 ตัว และทุกวัน ญาติๆจะมาเยี่ยมพร้อมข้าวปลาอาหาร ลูกชายคนโตของท่านก็ถูกจับกุมเช่นกัน และในฐานะผู้เป็นแม่ ท่านก็ไม่ได้แสดงความหวั่นไหวอันใด ในวิกฤตเช่นนี้
ข้อกล่าวหาทั้งหลายมีอันต้องตกไป เพราะขาดหลักฐาน ไม่กี่เดือนต่อมา ท่านก็เดินทางไปอยู่ต่างประเทศ จนท้ายที่สุด ทั้งท่านและ อาจารย์ ปรีดี ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบที่ประเทศฝรั่งเศส กว่า 30 ปี จนกระทั่งอาจารย์ปรีดีเสียชีวิต ท่านจึงกลับมาอยู่เมืองไทยแดนเกิดและแผ่นดินแม่ที่ท่านปรารถนาจะจบชีวิตลง
ในบั้นปลายของชีวิต ท่านผู้หญิงเล่าให้ฟังว่า ท่านมีชีวิตสงบ ออกกำลังกายเบาๆ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ฟังธรรมอยู่กับลูกหลาน ไปร่วมงานต่างๆ ที่เนื่องกับท่านอาจารย์ปรีดีบ้างและวันเสรีไทย
ข้าพเจ้าได้ตระหนักว่า การได้สนทนากับคนดีนั้น เป็นมงคลชีวิตจริงๆ สิ่งที่ท่านเล่า เป็นบทเรียนให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ และที่สำคัญ บุคลิกภาพ ท่าทีของท่าน เป็นสิ่งที่ฝังแนบเข้าในใจของข้าพเจ้า
นี่คือการสอนโดยไม่สอน เป็นวิธีที่ทั้งท่านอาจารย์ปรีดีและท่านผู้หญิงใช้สอนลูกหลานของท่าน การทำให้ดูเป็นตัวอย่างสำคัญมากกว่าการพูดสอน
จวบวาระสุดท้าย ท่านก็สอนโดยการแสดงให้เห็นวิถีของผู้ดีที่แม้ตายก็ยังสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป ท่านอุทิศร่างกายให้เป็นครูแก่นักเรียนแพทย์ ผู้ซึ่งจะช่วยดูแลรักษาชีวิตคนอีกมากมายต่อไป ท่านยังระบุให้ลูกหลาน ทำพิธีศพและรำลึกถึงท่านอย่างเรียบง่าย ไม่สิ้นเปลือง หรือรบกวนผู้ใด
ความยิ่งใหญ่ของท่านคือความเรียบง่ายและชีวิตที่ครองธรรมอยู่เสมอ
ไม่ว่าชีวิตจะขึ้นหรือลงทั้งอาจารย์ปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุขยึดถือสัจจธรรมข้อเดียวกัน
“ธรรมจะคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติธรรม ความดีงามที่เราทำไม่มีวันจางหาย” ท่านผู้หญิงพูนศุขบอกข้าพเจ้า
คนดีไม่มีวันตาย ความดีของท่านผูหญิงพูนศุขยังดำรงอยู่ในโลก ในหัวใจของใครหลายคนที่ยังมีชีวิตและสานต่อความดีงามต่อไป
คำสั่งถึงลูกๆทุกคน
เมื่อแม่สิ้นชีวิต ขอให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
1)นำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันที เมื่อหมอตรวจว่าหมดลมหายใจแล้ว
2)ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น
3)ประกาศทางวิทยุ และลงหนังสือพิมพ์เพื่อแจ้งข่าวให้ญาติมิตรทราบ
4)ไม่มีการสวดอภิธรรม ทั้งนี้ไม่รบกวนญาติมิตรที่ต้องมาร่วมงาน
5)มีพิธีไว้อาลัยที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ โดยนิมนต์พระที่แม่นับถือแสดงธรรมกถา (เช่นเดียวกับที่จัดให้ปาล) และทำบัตรรับหนังสือที่ระลึก
6)ไม่รบกวนญาติมิตร ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ หรือเงินช่วยทำบุญ
7)เมื่อโรงพยาบาลคืนศพมาก็ทำการฌาปนกิจอย่างเรียบง่าย
8)ให้นำอัฐิและอังคารไปลอยที่ปากน้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นสถานที่ๆแม่เกิด
9)หากมีเงินบ้าง ก็ขอให้บริจาคเป็นทาน แก่มูลนิธิต่างๆ ที่ทำสาธารณกุศล
10)ขอให้ลูกทุกคนปฏิบัติตามที่แม่สั่งไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ต้องฟังความเห็นผู้หวังดีทั้งหลาย ลูกๆที่ปฏิบัติตามคำสั่งของแม่จงมีความสุข ความเจริญ
พูนศุข พนมยงค์
เขียนไว้ที่บ้านเลขที่ 172 สาธร 3 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2541
แม่มีอายุครบ 86 ปี 9 เดือน
ชีวิตรื่นรมย์ 22 พค 50
กรรณจริยา สุขรุ่ง media4joy@hotmail.com
กลุ่มสื่อสร้างสรรค์ www.happymedia.blogspot.com
วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 17, 2550
ถึงเพื่อนผู้กำลังเจ็บป่วย
เช้านี้ ข้าพเจ้าตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกสบายใจ เบิกบาน ตั้งใจว่าวันนี้ เราจะทำงานอย่างรื่นรมย์ ไม่เร่งรีบ ไม่เร่าร้อน แม้จะมีงานเต็มมือ เราก็จะทยอยทำไปทีละเรื่องทีละอย่าง ทำไปพักไป หาความสุข สนุกเล่นให้กับชีวิตคั่นกับการทำงาน
อาจด้วยใจที่สบายๆ เช่นนี้กระมังที่ทำให้ข้าพเจ้ากล้ากดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งหมายมั่นไว้ในใจนานแล้วว่าต้องโทรไปพูดคุยด้วย
และการพูดคุยครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็น “เงา” ที่แอบซ่อนตัวอย่างเร้นลับที่สุดอันหนึ่งในใจ
กว่าหนึ่งเดือนแล้วที่ข้าพเจ้ารู้ข่าวความเจ็บป่วยของเพื่อนคนหนึ่ง หมอวินิจฉัยว่าเธอมีก้อนมะเร็งในมดลูก
ตอนนั้น ใจของข้าพเจ้าหนักอึ้งมึนชา
แม้จะรู้ว่า มะเร็งเป็นความเจ็บป่วยที่รักษาให้หายได้ แต่ก็อดรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้ อยากส่งกำลังใจ หรือหากทำอะไรได้มากกว่านั้นก็ยินดี ทว่าข้าพเจ้ากลับไม่ได้พยายามที่จะติดต่อเพื่อนคนนี้ ไม่ว่าจะทางโทรศัพท์หรืออีเมล์
ที่ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าเพิ่งมาตระหนักในวันนี้เองว่า การที่เราไม่ทำอะไรเลยที่ผ่านมานั้น เป็นความพยายามของใจที่อยากลืมเลือนเรื่องนี้ไปเสีย ไม่อยากรับรู้ว่าขณะนี้เกิดอะไรขึ้นจริง
เราไม่กล้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ ความกังวล และความกลัวของตัวเอง
เรากลัวเพื่อนเป็นทุกข์ เรากลัวเพื่อนต้องจากเราไป และเมื่อลองเข้าไปค้นใจให้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิด ยิ่งพบอีกว่า ที่แท้แล้ว เรากลัวความเจ็บป่วยและความตายของเราเองต่างหาก
สถานการณ์ที่เพื่อนเผชิญอยู่ คือเงาสะท้อนให้เราเห็นอนาคตของเราเอง
สักวัน เราก็อาจต้องพบพานเรื่องทำนองเดียวกันนี้ คือความเจ็บป่วยที่เราไม่ปรารถนา
คุณก้อนมะเร็งของเพื่อนดึงให้เรากลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้งว่า เราทุกคนต่างมีชะตากรรมเดียวกัน เราเป็นทั้งเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเจ็บ ร่วมตาย อย่างแท้จริง
เห็นเช่นนี้แล้ว ทำให้ไม่อยากโกรธเกลียดใครเลย เพราะเราอยู่ในเรือที่กำลังจะล่มอยู่รอมร่อเหมือนๆ กัน
ในยามวิกฤตเช่นนี้ เราจะทะเลาะกัน ยึดมั่นความถูกผิดในความเห็นของตน กอบโกยเอาประโยชน์ใส่ตัวและโยนชั่วใส่คนอื่น จมดิ่งหายตามกันไปทั้งหมด หรือเราจะช่วยกันหาทางรอด ประคับประคองให้พ้นทุกข์ไปด้วยกันทั้งหมด
น่าสนใจว่า เมื่อเราเริ่มรู้สึกยอมรับความกลัว น้อมรับเรื่องที่เราไม่อาจควบคุมได้ เรากลับมีพลัง ความกล้า ความเข้มแข็งที่จะเผชิญกับชะตากรรมที่เป็นไปร่วมกัน
ข้าพเจ้าอาจจะไม่ได้เจ็บป่วยไปกับเธอ แต่ เราจะดูแลชีวิตร่วมกัน
ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความถึงชีวิตของเพื่อนคนนี้เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงชีวิตของข้าพเจ้า และ ชีวิตอื่นๆ ในโลกใบนี้ด้วย ทั้งปัจจุบันและอนาคต
ชีวิตเป็นเหมือนไข่ที่เปราะบาง อาจแตกสลาย ล้มตายได้ทุกเมื่อ
ชีวิตเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในเส้นลากของกาลเวลาที่โลกและจักรวาลดำรงอยู่
แต่จุดเปราะบางของชีวิตนี้เองที่ให้พลังในการสร้างสรรค์อย่างมหาศาลกับตัวของมันเอง
ชีวิตทั้งหลายในปัจจุบัน เกิดและดำเนินไปได้ก็เพราะชีวิตทั้งหลายในอดีต
ชีวิตโลกสมัยใหม่สนุกสนานได้เพราะบุคคลในอดีตที่คิดค้นไฟฟ้า หลอดไฟ โทรศัพท์ และพลังงาน
เรามีอากาศที่หายใจได้ น้ำที่ดื่มได้ ทั้งยังสามารถผ่อนคลาย ชื่นชมธรรมชาติได้ นั่นก็เพราะบรรพบุรุษของมนุษยชาติผู้ดูแลรักษาป่าไม้ สายน้ำ และมหาสมุทรให้แก่เรา
และชีวิตทั้งหลายอันจะเกิดขึ้นในอนาคต ลูกหลานของเรา พวกเขาก็จะดำรงอยู่ตามปัจจัยและ สภาพแวดล้อมที่เราทุกคนในปัจจุบันช่วยกันสร้างและทำลายเหลือไว้ให้
เพื่อนคนนี้ทำงานด้านพัฒนา สร้างสรรค์ความดีงามให้สังคม ครอบครัว เด็ก และเยาวชน แม้เป็นเพียงคนเล็กๆ แต่ชีวิตของเธอคือพลังการสร้างสรรค์สำคัญ เฉกเช่นทุกชีวิตบนโลก กระทั่งความท้าทายที่เธอกำลังเผชิญก็เป็นสิ่งที่เราหลายคนร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันได้
หมอแนะนำให้เธอใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพทางอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์เครียดที่ควรหลีกเลี่ยง
งานวิจัยมากมายชี้ว่า ภาวะความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยต่างๆ รวมทั้ง ก้อนมะเร็งด้วย แต่เธอกลับบอกว่า ภาระหน้าที่ที่เธอต้องทำและยังละทิ้งไม่ได้นั้น อาจทำให้เกิดความเครียดได้ เลยไม่รู้ว่าจะทำงานโดยไม่ให้เกิดความเครียดได้อย่างไร
โจทย์ของเธอคือโจทย์ของข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน
ข้าพเจ้ากลับมาทบทวนการทำงานและการใช้ชีวิตของตัวเองอย่างจริงจังว่า ตัวเองได้สร้างปัญหาอะไรให้กับตัวเองบ้าง ข้าพเจ้าสะสมความเครียด อารมณ์ทางลบไว้กี่มากน้อย และกำลังบ่มเพาะก้อนมะเร็งไว้กี่ก้อนแล้ว
แน่นอนว่า เราอาจต้องทำงาน สัมพันธ์กับผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หลายอย่างที่ไม่เป็นไปตามปรารถนา เราจะประคองใจไม่ให้เกิดความเครียดหรือสร้างความเจ็บป่วยให้แก่ตัวเองได้อย่างไร
หากเราแบ่งเวลาสักช่วงเพื่ออยู่เงียบๆ ตามลำพัง ให้ใจได้ใคร่ครวญวิถีที่เราทำงานและดำเนินชีวิตในแต่ละวันว่าเรากำลังบั่นทอนสุขภาพ ทำร้ายร่างกายและจิตใจของเราเอง รวมทั้งคนรอบข้างแค่ไหน เราอาจจะปรับเปลี่ยน/ปรับปรุงชีวิตใหม่เสียก่อนที่โอกาสนั้นจะริบหรี่ลง
หากเราเพิ่มพื้นที่ความสุขในหัวใจ เพิ่มในตารางเวลาของแต่ละวันได้ พื้นที่ความเครียดก็อาจถูกเบียดให้เหลือน้อยลงได้
หากใครรู้ตัวว่ากำลังเครียด โปรดเมตตาและกรุณาตัวเองให้มากๆ ทำอะไรก็ได้ให้ความรู้สึกนั้นคลายตัวลง เช่น ร้องเพลงไปด้วย ฟังเพลง อ่านหนังสือที่ชอบ อยู่กับต้นไม้ เล่นกีฬา ดูหนัง ไปเที่ยว พักบ้าง เป็นต้น
และท้ายที่สุด เราอาจจะต้องเข้าไปสืบค้นความเครียดว่ามาจากอะไร เราเครียดเรื่องอะไร ทำไมจึงเครียด สำหรับข้าพเจ้า ความเครียดของตังเองเกิดจากความคาดหวัง ความกลัว ความวิตกกังวล ความอยาก ความอิจฉา หรือแม้กระทั่งความรู้สึกโดดเดี่ยว และอีกมากมาย
ถามคำถามกับตัวเอง สาวไส้เรื่องราวของความเครียด แล้วเราอาจค้นพบในที่สุดว่า ภายในปล้องไผ่ที่เรายึดถือ เห็นว่าจริงนั้น สุดท้ายก็เป็นเพียงความว่างเปล่า
ขอบคุณความเจ็บป่วยของเพื่อนที่เอื้อเฟื้อให้ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ได้ทบทวนสารัตถะแห่งชีวิต และเห็นแนวทางที่จะก้าวเดินต่อไปอย่างมีความหวังและความหมาย
เมื่อมีมิตรภาพและการร่วมทุกข์ ความสุขก็จะเบ่งบาน
ชีวิตรื่นรมย์ // โพสต์ทูเดย์ // ฉบับอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2550
กรรณจริยา สุขรุ่ง media4joy@hotmail.com
กลุ่มสื่อสร้างสรรค์ www.happymedia.blogspot.com
สนับสนุนโดย ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)