วันพุธ, กุมภาพันธ์ 21, 2550

เด็กซนคนผิด


ร้านขายหนังสือมากมายมารวมกันอยู่ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติครั้งหลังสุดเมื่อปีกลาย นับเป็นแหล่งยวนเย้าความรู้สึกของผมที่ต้องการสัมผัสกลิ่นอายของบรรยากาศการแลกเปลี่ยนซื้อขายตัวอักษร
ผมจับรถไฟที่ป้ายหยุดรถคลองรังสิตเพื่อเดินทางเข้าเมือง เมื่อขึ้นไปบนขบวนรถ พบเห็นบรรดาผู้โดยสารจับจองที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว โชคดียังมีเก้าอี้ว่างริมทางเดินกลางตู้รถ ผมเดินผ่านแม่ค้า พระสงฆ์ เด็กน้อยและหนุ่มสาว เข้าไปนั่งเอกเขนกตามใจหมาย
รถไฟแล่นเฉื่อยไม่ทันใจคนที่ต้องการสัมผัสตัวอักษ รความที่มองไม่ค่อยเห็นทิวทัศน์สองข้างทาง เนื่องเพราะไม่ได้นั่งเก้าอี้ริมหน้าต่าง ทำให้ผมเสมองบรรยากาศภายในโบกี้โดยสารที่แน่นขนัด กระทั่งเห็นเด็กชายร่างอ้วนคนหนึ่ง เจ้าเด็กอ้วนที่ผมจ้องมองไม่ได้เรียกความสนใจเฉพาะผมเท่านั้น เพราะสายตาคนทุกผู้ก็ยังจับจ้องเช่นกัน ด้วยมือไม้ของเจ้าเด็กอ้วนไม่เคยอยู่สุข ลุกลี้ลุกลนตลอด บ้างเตะต่อยคนที่นั่งอยู่ข้างๆ และบางครั้งก็ถึงกับยกเท้าถีบหน้าอกผู้โดยสารที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ผู้โดยสารเหล่านั้นไม่ได้โต้ตอบ เพียงตั้งรับปลายมือปลายเท้าของเจ้าเด็กกวนประสาทที่อาละวาดอย่างไร้เหตุผล แม้แต่คุณแม่ของเด็กน้อยที่นั่งอยู่เคียงใกล้ก็ยังโดนเจ้าลูกชายทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งถีบ ทว่าคุณแม่ผู้ใจดีกลับไม่กล้าขึ้นเสียงหรือแม้แต่จะเงื้อมือ
ผมโกรธแทนผู้โดยสารที่เจ้าเด็กใช้เป็นกระโถนระบายอารมณ์ คงเพราะผู้เป็นแม่ไม่แสดงทีท่าห้ามปราม ผู้โดยสารที่รับกรรมจึงไม่กล้าหือ ผมละเว้นที่จะครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เจ้าเด็กออกลาย ละเว้นที่จะครุ่นคิดว่าเหตุใดคุณแม่ของเด็กจึงไม่เอ็ดลูก แต่ผมกลับคิดว่าแม้เขาเป็นเพียงเด็ก เขาก็เริ่มเติบโตเป็นผู้เป็นคนแล้ว จึงน่าจะรู้สึกได้ถึงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของตนบ้าง
สิ่งที่ผมทำได้คือจ้องมอง มองเจ้าเด็กอ้วนมีความสุขที่ได้ทำร้ายผู้อื่น และดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นมองมาทางผมเช่นกัน ผ่านไปเพียงครู่ คุณแม่ก็พาลูกชายเข้าห้องน้ำ เจ้าลูกชายเดินตามคุณแม่ไปยังห้องน้ำท้ายโบกี้ โดยต้องเดินผ่านเบาะไม้โทรมๆ ที่ผมนั่งอยู่
และในช่วงขากลับ เจ้าเด็กนั่นก็ชกหน้าผมอย่างจัง
ผมโกรธจนควันออกหู มองเจ้าเด็กส่งสัญญาณเสียดเย้ยตบท้าย ทั้งยังเตะต่อยคนโดยสารและผู้เป็นแม่ไม่เลิก ราวกับสิ่งรอบด้านเป็นเพียงกระสอบทรายรองรับอารมณ์ที่แสนเอาแต่ใจ
ยิ่งมองเจ้าเด็กด้วยความโกรธเกรี้ยวเพียงใด เจ้าเด็กก็ยิ่งดูสุขสมหวัง คล้ายสิ่งที่ทำลงไปนั้นบรรลุผล
รถไฟมาถึงหัวลำโพงเกือบเที่ยงตรง ผมลุกยืนเมื่อเจ้าเหล็กขบวนยาวเลื้อยเทียบชานชาลา เจ้าเด็กอ้วนกับคุณแม่ก็เช่นกัน คุณแม่ของเจ้าเด็กเดินจูงลูกชายที่กำลังแลบลิ้นปลิ้นตา เช่นเดียวกับผมที่กำลังหาทางเล่นงานเจ้าเด็กบ้านั่น
แต่ในระหว่างเดินลงจากขบวนรถ พระสงฆ์รูปหนึ่งที่นั่งอยู่เคียงใกล้ก็เดินมาคั่นกลางระหว่างผมกับเจ้าเด็กอ้วนโดยบังเอิญ
พระสงฆ์องค์เจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ทว่าสัญลักษณ์ของผ้ากาสาวพัตรที่ฉายฉาน กลับทำให้ผมทบทวนถึงความตั้งใจ เสมือนความหมายของพระธรรมแสดงตนให้ผมตริตรองถึงผลลัพธ์ หากกระทำในสิ่งเลวร้ายลงไป
อย่างน้อยเพื่อให้ผมฉุกคิดขึ้นได้ว่า ผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าเด็กก็ยังไม่ติดใจเอาความ หรือแม้แต่คนผู้เป็นแม่ก็ยังใจเย็น
น่าเสียดายที่จุดหมายในการเอาชนะเจ้าเด็กอ้วน บดบังความละอายต่อบาปเสียสิ้น
ความโกรธแค้น... แสนอร่อยเหลือเกิน
หลังจากเจ้าเด็กอ้วนและแม่ พระสงฆ์หนึ่งรูป และผู้โดยสารอีกไม่กี่คนก้าวลงบนพื้นชานชาลา จนเหลือเพียงผมที่ตั้งใจเดินออกจากตู้รถเป็นคนสุดท้าย
ทันทีที่ถึงพื้น ฉากชีวิตของผู้คนบริเวณสถานีรถไฟหัวลำโพงที่ผมเห็น เป็นยิ่งกว่าความหมายของคำว่า “ชุลมุนวุ่นวาย”
ผมเดินรี่ยังเจ้าเด็กอ้วนโดยแอบอยู่ในเงาร่างของผู้โดยสารคนอื่น จับจ้องร่างเด็กเตี้ยป้อมที่คงจะเลิกสนใจผมไปแล้ว พร้อมกับเห็นคุณแม่ของเด็กจูงมือลูกอย่างทะนุถนอม
เพียงเสี้ยววินาที ฝ่ามืออรหันต์ของผมก็พุ่งเข้าไปเบิร์ดกะโหลกเจ้าเด็กอ้วนจนหัวทิ่ม
ไม่จำต้องหันมองก็รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นยืนอึ้ง ก่อนปล่อยโฮออกมาอย่างคลั่งแค้น คงเป็นความแค้นแบบเดียวกับที่ผมเพิ่งได้ลิ้มลองไปไม่นาน
เสียงร้องไห้ของเจ้าเด็กดังลั่น แข่งกับสรรพเสียงของสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ส่วนตัวผมก็จำต้องรีบจ้ำอ้าว สาวเท้ายาวๆ ตรงยังทางลงรถไฟฟ้าใต้ดินราวกับจะมุดหนี
ผมไม่ลืมการกระทำครั้งนี้แน่นอน... เพราะนี่คือการ ‘ทำผิดแล้วคิดหนี’ ครั้งแรกในชีวิต
การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินจากหัวลำโพงไปยังศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็จริง แต่กลับรู้สึกว่าเป็นห้วงมิติอันแสนอึดอัด แม้เสียงร้องของเจ้าเด็กอ้วนจะถูกกลืนหายจนหมดสิ้น ทว่าผมก็ยังเหลียวหลังไม่วางวาย คล้ายการกระทำของตัวเองยังคงหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา
ผมกำลังบอกตัวเองว่า เจ้าเด็กคนนั้นกำลังตามมาทวงแค้นอย่างไม่ลดละ
เมื่อถึงศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อารมณ์ด้านลึกยิ่งพวยพุ่งจับความรู้สึกที่สั่นไหวให้โยกคลอนกว่าเดิม หลังจากมองเห็นเด็กๆ นับพันนับหมื่นคน อืออลวนเวียนอยู่ในงานมหกรรมหนังสือ เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมที่มักมีเด็กเล็กเด็กใหญ่ รวมถึงผู้ปกครองที่จูงบุตรหลานมาเที่ยวซื้อหนังสือเช่นเดียวกับผมและนักอ่านทั่วไป
ผมตัวสั่นงันงก ทำอะไรไม่ถูก ราวกับมองเห็นเจ้าเด็กอ้วนกำลังหลบอยู่มุมใดมุมหนึ่งเพื่อคอยโต้ตอบ บางขณะก็คิดว่าอาจมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตามมาจับกุมคนรังแกเด็ก
ตลอดเวลาที่ผมคลุกคลีอยู่ในร้านหนังสือ สมาธิของผมกระเจิดกระเจิงจนไม่อาจเลือกซื้อหนังสือติดมือสักเล่ม สายตาเต็มด้วยความหวั่นระแวงทั้งต่อผู้อื่นและตัวเอง คล้ายสำนึกชั่วของตนถูกความเป็นธรรมเล่นงาน กระทั่งสายตาเจ้ากรรมพลันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังเลือกซื้อหนังสืออย่างใจเย็น
ไม่น่าเชื่อ...เป็นพระรูปเดียวกับที่เดินทางมาบนรถไฟด้วยกัน
ภาพของพระรูปนั้นยิ่งทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า สองแม่ลูกก็อาจวนเวียนอยู่ไม่ไกล ถึงจะไม่ปรากฏเป็นรูปธรรม แต่ก็ปรากฏในจิตใจของผมอย่างชัดเจน
ท่ามกลางความสับสน ผมอยากเดินไปหาพระรูปนั้น พร้อมกับสารภาพถึงการกระทำผิดของตน แม้จะขอยืนยันอีกครั้งว่า เจ้าเด็กอ้วนนั่นควรได้รับการอบรมเสียบ้าง
ทว่าผู้ที่ควรได้รับการสั่งสอนอีกคน...ก็น่าจะเป็นผมด้วย

ชีวิตรื่นรมย์ // โพสต์ทูเดย์ // ฉบับวันที่ 20 ก.พ. 2550
โมน สวัสดิ์ศรี media4joy@hotmail.com
กลุ่มสื่อสร้างสรรค์ www.happymedia.blogspot.com
และศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

ไม่มีความคิดเห็น: