วันพุธ, มิถุนายน 06, 2550

ความศรัทธาทำให้คนตาบอด


ถ้อยประโยคจากหัวเรื่องอาจเป็นคำคุ้นคล้ายของใครหลายคน นั่นเพราะคำดังกล่าวหมายถึงการลุ่มหลงในความรักจนไม่อาจปลีกตัวไปพบความจริง เพียงแต่คำกล่าวด้านต้นเปลี่ยนจากคำว่า ‘ความรัก’ เป็น ‘ความศรัทธา’
ผมเคยได้ยินคำว่า ‘ความรักทำให้คนตาบอด’ มานมนาน และเคยประสบพบพานกับตัวเองเมื่อหลายปีก่อน ช่วงเวลาดังกล่าวผมเป็นเพียงบัณฑิตใหม่ ไฟแรงทั้งในเรื่องการงานและการแสวงหา โดยเฉพาะเรื่องราวของความรักอันเป็นสัญชาตญาณที่ผู้ชายจะพึงมี
หลังจากทำงานประจำเพียงไม่กี่ปีผมก็ตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่ง ผมพบเธอและทำความรู้จักกันอย่างบังเอิญที่ต่างจังหวัด ก่อนจะหอบหิ้วความรักกลับเข้าเมืองหลวงด้วยการติดต่อและเขียนจดหมายถึงเธอตลอดเวลา กระนั้นหญิงสาวก็ยังไม่มีวี่แววจะเปิดทางเพื่อคบหาเรียนรู้ เพียงโต้ตอบกันในฐานะเพื่อน โดยผมเป็นฝ่ายรักเธอข้างเดียว
เป็นเรื่องธรรมดาที่ความชอบความหลงทำให้ผมเรียนรู้ถึงความเป็นตัวเธอ ผมจึงพบว่าเธอเป็นหญิงสาวที่แสนอินเทรนด์ ทั้งๆ ที่บ้านเกิดของเธออยู่ต่างจังหวัด ตรงข้ามกับผมที่มีบ้านเกิดอยู่กรุงเทพฯ แต่กลับมีบุคลิกนอกกระแส
จากเหตุผลระหว่างฝั่งความคิด ดูเหมือนเธอผิดหวังกับความเป็นผม แม้ผมได้พยายามปรับตัวเข้าหาเธออย่างมากก็ตาม
แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เกิดขึ้นหลังจากที่ผมเริ่มใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยด้วยการไปเดินห้างกับเธอ จับจ่ายข้าวของให้เธอ และเลี้ยงอาหารเธอในภัตตาคารสุดหรู ผมรู้สึกว่าเธอมีความสุขมากขึ้นและผมเองก็มีความสุข แม้คำเตือนของเพื่อนฝูงจะตีโต้มาเป็นระยะ
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่สุดท้าย เราสองก็เหินห่างเพราะความแตกต่างทางความคิดจนทำให้ทางชีวิตไม่เหมือนกัน ในเวลานั้นผมยังรู้สึกธรรมดากับหัวใจตัวเอง
บางครั้ง ภาพเธอก็มาหลอกหลอนในห้วงฝันของผม แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน ผมก็กลับมาทบทวนถึงรูปเงาแห่งอดีตที่ยังตกตะกอนในก้นบึ้งแห่งความทรงจำ แม้ภาพของเธอจะยังคงอยู่ แต่คำวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนผู้ห่วงใยก็ยังคงอยู่เช่นกัน
ผมพบว่าคำกล่าวของเพื่อนๆ เตือนสติและหวังดีอย่างไม่มีทางเป็นอื่น
ความเป็นตัวเราทั้งสองช่างต่างกัน หากผมไม่พยายามสนิทสนมกับเธอ เธอก็คงไม่เรียนรู้ที่จะพบเห็นความเป็นผมเสียด้วยซ้ำ แต่การที่ผมนำเรื่องนี้มาวิเคราะห์ก็มิได้หมายความว่าผมจะคิดไปในทางเลวร้าย เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความหมายของคำว่า ‘ความรักทำให้คนตาบอด’ กลับเข้ามาอยู่ในความนึกคิดอีกครั้ง
ผมไม่ได้กล่าวหาว่าความรักเป็นเรื่องไร้ค่า ผมขอยืนยันว่าความรักคือสิ่งที่เกิดขึ้นจากหัวใจอันดีงาม เพราะจิตแห่งความรักคือจิตที่บริสุทธิ์ คือจิตแห่งการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
คุณค่าของความรักคือความดีงามของชีวิตที่ทุกสรรพสิ่งพึงต้องการและโหยหาอย่างไม่รู้สิ้น แต่ผลลัพธ์จากความลุ่มหลงในความรักทำให้ผมนึกเปรียบเทียบถึงความรู้สึกของใครหลายคนที่ยังหลงใหลมัวเมาไม่ต่างจากการพร่ำเพ้อถึงใครสักคน
ผมหมายถึง ‘ความศรัทธา’ ที่มีต่อบุคคลคนหนึ่ง
ด้วยความที่ผมใช้ชีวิตเคียงชาวบ้าน คลุกคลีกับชาวบ้านและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชาวบ้าน ทำให้ผมรับทราบข้อเท็จจริงว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงศรัทธาบุคคลอันเป็นที่รักอยู่คนหนึ่ง บุคคลดังกล่าวเคยเป็นผู้นำประเทศ แต่ในเวลานี้กลับต้องพำนักอยู่นอกประเทศซึ่งผมจะไม่ขยายความให้เยิ่นเย้อ
เพราะสิ่งที่ผมฝังใจเป็นพิเศษ คือฤทธิ์เดชแห่งความศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อบุคคลคนนั้น จนมองไม่เห็นความจริงในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น
ความศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่ออดีตผู้นำ รุกเร้ารุนแรง ไม่ต่างจากความรักของผมที่มีต่อหญิงสาว เป็นความคลั่งไคล้เกินจะนำเหตุผลใดๆ มาต่อกรกลับความไร้เหตุผล
ผมพยายามอธิบายให้ชาวบ้านรับฟังในเหตุผลอีกด้าน คลี่คลายข้อเท็จจริงยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายเช่นเดียวกับเพื่อนฝูงของผมที่แนะนำให้ผมตัดใจจากหญิงสาวคนนั้น
ไม่น่าเชื่อว่า สิ่งที่ผมพร่ำกล่าวได้ผลลัพธ์เป็นเพียงสายลมบางเบา ทั้งนี้ มิใช่ว่าสิ่งที่ผมอธิบายเป็นเรื่องยากเกินจะเข้าใจ ทว่าพวกเขาไม่ได้ทำความเข้าใจในเรื่องที่ผมเล่า จนผมเองหมดหวังที่จะนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาอธิบายให้สังคมเล็กๆ ได้ตระหนักถึงผลลัพธ์ของการคอรัปชั่น
หลังจากคำอธิบายประสบความล้มเหลว ผมจับมองแววตาของชาวบ้านที่เปี่ยมล้นด้วยความหวังว่าบุคคลอันเป็นที่รักจะกลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกครั้ง
แต่ระหว่างที่มองเห็นแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ของพวกเขา ผมกลับมองเห็นภาพมายาสารพัดที่เบียดบังความจริง ม่านกำแพงที่ปกปิดดวงตาคนเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งเหนือความคาดหมาย เพราะนั่นคือความศรัทธาที่อยู่ในระดับรุนแรงยากจะบรรยาย
ปรากฏการณ์ความศรัทธาในตัวอดีตผู้นำ ทำให้ผมเข้าใจในอีกระดับว่า ‘ความศรัทธา’ และ ‘ความรัก’ เป็นเสมือนมุมมองในมิติเดียวกัน เพราะหัวใจของผู้ที่ถูกความรักเคลือบทา ย่อมมองไม่เห็นข้อเสียหรือตำหนิของคนที่ถูกรัก
ความหมายของความศรัทธาก็คงไม่ต่างกัน
ผมไม่เชื่อว่าความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้โดยไร้ซึ่งการอธิบาย เพียงแต่ต้นเหตุที่ทำให้สังคมของเรามีความเห็นแตกต่างจนนำไปสู่ภาวะแตกแยก มิใช่เรื่องของการแสดงข้อเท็จจริง แต่กำแพงหนาของความศรัทธานั่นแหละที่นำไปสู่การปกปิดความรับรู้ของตัวเอง จนเปิดทางให้วิกฤติบ้านเมืองดำรงคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
ดวงจิตแห่งความความศรัทธาที่รุนแรงจึงเป็นภยันตรายต่อสัจธรรมความจริง ไม่ต่างจากชายหนุ่มผู้หน้ามืดตามัวเพราะหลงอยู่ในหลุมหล่มแห่งความรัก
หากผู้มีศรัทธายอม ‘เปิดใจ’ ให้กับความเห็นที่แตกต่าง ลองคิดถึงตรรกะแห่งความจริง-เท็จ-ดี-ชั่ว ก็ย่อมแยกแยะผิด-ถูกได้ไม่ยาก เพราะความรักความศรัทธาไม่ใช่เรื่องของความเลวทราม เพียงแต่อาจเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจจนสร้างดาบสองคมเล่นงานความถูกต้อง
ในเมื่อความรักของชายหนุ่มหญิงสาวคือสิ่งดีงาม ความศรัทธาก็ย่อมเป็นสิ่งดีงามเฉกกัน
เพราะฉะนั้นเราควรย้อนมองถึงสิ่งที่ศรัทธาด้วยการพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความศรัทธาที่มีต่อองค์พระ ความศรัทธาต่อวัตถุมงคล หรือความศรัทธาต่อผู้นำประเทศไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม (ขอย้ำ-ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม) ในเมื่อใครคนนั้นมีความเก่งกล้าจนเป็นที่เคารพศรัทธาในหมู่ชน ใครคนนั้นก็อาจมีข้อบกพร่องซึ่งเป็นสัจธรรมของสามัญมนุษย์ อาจเป็นข้อบกพร่องที่ไม่ได้ตั้งใจ (หรือเป็นข้อบกพร่องโดยสุจริตก็ตามที) หากเปิดใจพบเห็นข้อบกพร่องของบุคคลที่เราศรัทธา ความจริงและสัจธรรมย่อมปรากฏให้เรามองเห็น
หรือหากเรายังยืนยันที่จะศรัทธาและเชื่อมั่นในผู้ที่เราศรัทธา ก็ควรยกหยิบความจริงที่ได้ค้นพบขึ้นมาชี้แนะหรือวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อให้คนที่เราศรัทธากระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
นี่แหละคือวิถีที่ถูกต้องของ ‘ความศรัทธา’ ซึ่งเป็นวิถีที่ถูกต้องของ ‘ความรัก’ ด้วยเช่นกัน


ชีวิตรื่นรมย์ // โพสต์ทูเดย์ // ฉบับวันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2550
โมน สวัสดิ์ศรี media4joy@hotmail.com
กลุ่มสื่อสร้างสรรค์ www.happymedia.blogspot.com
สนับสนุนโดย ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

1 ความคิดเห็น:

BOOMSKI กล่าวว่า...

ขอบคุณมากค่ะ สำหรับบทความดีๆ ที่ทรงคุณค่า

ดิฉันกับลูก (อายุ 15 ปี)มักมีเรื่องพูดคุยกันเสมอเวลารถติด วันนี้ดิฉันคงมีเรื่อง วิถีที่ถูกต้องแห่ง "ความศรัทธา" ไปพูดคุยกับลูก

ขอขอบคุณอีกครั้งค่ะ และหวังว่าจะมีบทความดีๆ ออกมาให้อ่านอย่างต่อเนื่องนะคะ