วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 30, 2550

สุขใจท่ามกลางทางเลือก


ทุกๆ วันที่เรามีชีวิตอยู่ท่ามกลางทางเลือกที่หลากหลาย ความรวดเร็วและสะดวกสบาย ทุกอย่างเลือกได้ สั่งได้ เพียงคลิกหรือกดปุ่ม ซึ่งในไม่ช้า สิ่งนั้นก็ปรากฎ
แต่บนทางเลือกที่มีอยู่ดาษดื่นนี้ หลายครั้ง ดิฉันลังเล ไม่แน่ใจ เหมือนต้องเดาว่าตรงไหนบ้างที่อาจมีกับดักแอบซ่อนอยู่
การมีตัวเลือกมากขึ้นอาจบั่นทอนคุณภาพชีวิตของเราได้ หากตั้งหลักไม่ดีพอ
นั่นไม่ได้หมายความว่า ดิฉันมองข้าม “คุณค่า” ของความแตกต่างหลากหลาย เพียงขอย้ำว่า เมื่อมีตัวเลือกมากขึ้น ต้นทุนที่ตามมาย่อมมากขึ้นตามไปด้วย
ทักษะการบริหารเวลาและการจัดลำดับความสำคัญจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ขาดทักษะเรื่องเหล่านี้ ตัดสินใจสิ่งใดๆ อย่างยากเย็น ทั้งต้องหาข้อมูลเพิ่มและเร่งมือให้เร็วขึ้น ทำให้น้อยครั้งที่ดิฉันจะได้อยู่นิ่งๆ เพื่อที่จะอิ่มเอมกับสิ่งตรงหน้า ไม่มีเวลาสำรวจดูซอกเล็กซอกน้อยของชีวิต ไม่มีจังหวะที่จะหันกลับมาทบทวนตรวจสอบแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว
ดูเหมือนผู้คนส่วนใหญ่จะรีบรุดไปข้างหน้า โดยคิดว่าตนจะได้เลือก ได้ลิ้มลองสิ่งใหม่ๆ ก่อนใคร อย่างเช่นสินค้าที่ออกมาให้เราได้เลือกมากมายหลายดีไซน์ ใช้เวลาผลิตไม่นาน แต่คุณภาพก็บอบบาง ไม่คงทน แตกหักง่าย โดยมิพักต้องพูดถึงความประณีต
ฤาหัวใจคนวันนี้ได้ถูกหลอมแบบเดียวกับคุณภาพของสินค้าไปแล้ว
วิถีชีวิตผู้คนวันนี้ขาดความดื่มด่ำล้ำลึก หากเปรียบกับการเดินทางก็เหมือนเรากำลังเดินไปบนทางราบ คุ้นเคยกับทางเรียบ วิตกเมื่อพบหน้าผาหรือทางดิ่ง เรามีแต่ทักษะที่จะมุ่งหน้ามากกว่าดำดิ่งซึ่งหลายครั้ง เราก็จำเป็นต้องอาศัยความชำนาญในการเดินทางแนวดิ่งเช่นเดียวกัน
ทันทีที่ต้องเผชิญกับโขดภูเขา เราจะได้รู้ว่าจะป่ายปีนหรือไต่ลงอย่างไรให้ปลอดภัย
การแสวงหาความสุขจากภายในก็เช่นกัน
บนทางเลือกที่มีอยู่มากมาย หลายคนมักคิดว่า “ความสุข” เป็นหนึ่งเดียวกับการบริโภค มีความหมายใกล้เคียงกับความพึงพอใจที่ได้เสพ เป็นอาการเดียวกับความสนุกสนานตื่นเต้น หรือมีสีสันชีวิตที่แปลกแตกต่างไปจากคนธรรมดา
ที่จริง การแสวงหาความสุขของชีวิต อาจไม่จำเป็นต้องออกเดินไปไหน ไม่จำเป็นต้องเดินทางเสมอไป เพียงหยุดนิ่งเพื่อดำดิ่ง พินิจตัวเราด้วยสติ เห็นความสำคัญของ “ความธรรมดา” ในชีวิตประจำวันอย่างใส่ใจ เพลิดเพลินกับความเรียบง่าย ยิ้มได้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ปล่อยวางให้เป็นปกติ
เพียงเท่านี้ ภาวะขณะเผชิญหน้าผาชันก็ไม่ต่างอะไรกับทางราบเรียบ ไม่ว่าจะเดินหน้าและนิ่งสงบ ต่างเป็นภาวะปรกติธรรมดาที่เป็นสุข
ไม่น่าเชื่อว่า เพียงแค่นิ่งและดิ่งลึก ซึมซับและรับรู้ความสุขที่อยู่ภายในหัวใจ เท่านี้ก็สุขแล้ว
อย่างไรก็ดี นอกจาก “วิถี” แห่งความสุขที่ว่ามาแล้ว ความมุ่งมั่นและอดทนก็สำคัญไม่แพ้กัน
หนทางของใครหลายคน แม้จะมาถูกทาง แต่ไม่ช้า พวกเขากลับเลิกล้มความตั้งใจ เพียงเพราะกังวลว่าจะไม่ถึงเป้าหมาย ห่วงว่าจะเปลืองตัวระหว่างเดินไป คิดเพียงก้าวให้ถึงที่หมายจนลืมแวะชมความงามสองข้างทาง
มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ผ่านการใช้ชีวิตมาแล้วหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่หรูหราฟู่ฟ่า เป็นอยู่อย่างสนุกสนานไปวันๆ ชอบการผจญภัยโลดโผน ทั้งตามกระแสและไม่ตามกระแส แต่สุดท้าย พวกเขาก็ลงเอยด้วยความพอใจชีวิตที่เรียบง่าย
ท่ามกลางความหลากหลาย และความเร่งรีบที่สังคมพาเราไป ดิฉันเชื่อว่า เราสามารถเลือกวิถีแห่งความสุขและความรื่นรมย์ในชีวิตได้ เพียงหวนกลับมาหาความเรียบง่าย จากความสุขภายในหัวใจและจิตวิญญาณ
โดยส่วนตัวดิฉันแล้ว การมีเวลาอ่านหนังสือ ค่อยๆ เก็บรับสัมผัสอรรถรสจากการอ่าน จากหนังสือที่ถูกใจ เพียงเท่านี้ก็ปีติสุขได้แล้ว
การได้เห็นหน่ออ่อนของเมล็ดพันธุ์ที่เพาะไว้ภายในบริเวณบ้านโผล่ขึ้นจากผืนดิน รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าก็พลอยผุดขึ้นตาม
เมื่อหน่อผุดขึ้น เราก็ต้องบ่มเพาะหล่อเลี้ยงให้มันเติบโตต่อไป เฝ้าดู รดน้ำ และพรวนดิน ดูแลให้หน่ออ่อนเล็กๆ เหล่านั้นโตขึ้น ไม่รีบร้อน ไม่เร่งรีบ ไม่หวังผลใดๆ
เพียงเท่านี้ก็สุขใจแล้ว
ที่เหลือ เช่น การได้ออกกำลัง ได้ช่วยเติมก๊าซออกซิเจนให้แก่โลก ล้วนเป็นผลพลอยได้
ดิฉันตั้งข้อสังเกตกับตัวเองถึงสิ่งที่นำพาเอาความรื่นรมย์ใจมาให้และพบว่า การเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ใช้เวลากับลมหายใจ จดจ่อกับกิจกรรมที่กำลังทำ ค่อยๆ ปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึกในใจทยอยละลาย ลื่นไหลตามลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เท่านี้ก็รื่นรมย์ใจได้แล้ว
สำหรับดิฉัน การเร่งรีบรังแต่จะนำความรู้สึกอึดอัดมาสู่เรา เพิ่มน้ำหนักความเครียดและปริมาณความกดดันมาให้ การได้อ่านหนังสือธรรมะสักเล่ม ประทับใจกับถ้อยคำสอนของพระนักบวชอย่างหลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ ก็สุขใจยิ่งแล้ว
ท่านใช้คำว่า “รีบเย็น” นับตั้งแต่ได้รู้จักคำนี้ ดิฉันรู้สึกยินดีและมีความสุขมาก เป็นคำง่ายๆ ที่นำมาใช้ได้ผลจริงในเวลาที่ต้องเผชิญกับความเร่งรีบ
ท่านหมายถึงให้เราทำสิ่งนั้นๆ ด้วยความว่องไวอย่างที่คุ้นเคย เพียงแต่ทำด้วยจิตใจที่เยือกเย็นเป็นปกติ ไม่ใช่ทำด้วยจิตใจที่เร้าร้อน
เพียงเท่านี้ก็ช่วย “เคาะ” ให้ดิฉันตาสว่าง มีทางออก ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาหลังจากที่รู้สึกอึดอัดขัดข้องมาตลอด
คำว่า “ช้าช้าได้พร้าเล่มงาม” ถึงแม้จะเป็นวลีที่ออกจะเชยและตกยุคไปแล้ว เพราะตกมาถึงรุ่นเราไม่ต้องมานั่งละเมียดบรรจงตีเหล็กเพื่อทำมีดพร้าไว้ใช้งานอย่างคนรุ่นก่อนๆ แต่ดิฉันก็เชื่อแน่ว่า ในแต่ละวัน ท่ามกลางความหลากหลาย ถ้าเราสามารถทำทุกเรื่องให้ช้าลงได้ เราก็จะรู้สึกเบาสบายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องง่ายๆ อย่าง “การหายใจ”
ลองหายใจเข้าอย่างช้าๆ ลึกๆ พอสุดแล้วก็ให้กลั้นลมหายไว้สัก 5 ถึง10 วินาที แล้วค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออกช้าๆ หมั่นทำบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาเครียดๆ จะช่วยให้หายเครียดได้
นอกจากนี้ ลองฝึกทำทุกอย่างด้วยจิตที่มีสติและใจที่เป็นสุขไม่ร้อนรน ที่สุด ความอึดอัดคับข้อง ความวุ่นวายสับสน จากทางเลือกที่มีอยู่เยอะจนน่าใจหายก็จะเปลี่ยนเป็นความปลอดโปร่งโล่งหัวใจแทน
ใครที่กำลังอยู่ระหว่างเผชิญทางเลือก ลองทำทุกอย่างให้ช้าลงอีกสักนิด ผ่อนลมหายใจเข้าออกให้ยาวขึ้นอีกหน่อย แล้วโลกที่น่ารื่นรมย์ก็จะปรากฏภายในไม่กี่ลมหายใจ

ชีวิตรื่นรมย์ / โพสต์ทูเดย์ / 21 สค 50
ศิริวรรณ สุขวิเศษ
media4joy@hotmail.com
กลุ่มสื่อสร้างสรรค์
www.happymedia.blogspot.com
สนับสนุนโดย ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

ไม่มีความคิดเห็น: