วันจันทร์, พฤศจิกายน 12, 2550

ในยุคมืด







เวลาดูหนังประเภทซุปเปอร์ฮีโร่ ดิฉันรู้สึกสนุกเพลิดเพลินไปกับจินตนาการ เครื่องไม้เครื่องมือ และความสามารถพิเศษล้ำโลก ที่เหล่ายอดมนุษย์ทั้งหลายนำออกมาใช้แก้ปัญหาสังคม และกู้วิกฤตโลก

ในภาคล่าสุดดิฉันประทับใจซุปเปอร์แมนที่ช่วยแบกเครื่องบินโดยสารที่กำลังจะตก เพราะถูกวางระเบิดวินาศกรรม หลายชีวิตรอดจากโศกนาฏกรรมนี้ หรือในคราวที่สไปเดอร์แมน และแบทแมนที่ช่วยจัดการกับเหล่าอาชญากรสติเฟื่องที่หาทางบ่อนทำลายความสุขสงบของมหานคร
เมื่อหันกลับมาดูสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเผชิญในตอนนี้และอนาคตอันใกล้ ดิฉันอดฝันไม่ได้ว่า จะดีเพียงใดหากเราจะมียอดมนุษย์ขึ้นมาจริงๆ

โลกของเรากำลังต้องการยอดมนุษย์ ทั้งหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่มากมาย ที่จะช่วยกันกอบกู้และสร้างสรรค์โลกที่น่าอยู่กว่านี้

ข่าวคราวภัยพิบัติโลกร้อนระอุขึ้นทุกที เปลือกโลกเคลื่อนไหวถี่ขึ้น ชาวไทยรู้สึกได้บ่อยขึ้นทุกวันโดยเฉพาะตามตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกละลาย เพิ่มปริมาณระดับน้ำทะเล อากาศแปรปรวนผิดฤดู โรคระบาดหวนคืน เชื้อโรคแข็งแรงขึ้นในขณะที่ภูมิคุ้นกันของมนุษย์ถดถอยลง

ปัญหาปากท้องก็บีบคั้นหัวใจ ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นจนรายได้ไล่ตามไม่ทัน น้ำมันราคาสูงขึ้น ราคาน้ำดื่มก็แพงพอๆกัน มาม่าอาหารคนยากก็เขยิบราคา ค่าโดยสารสาธารณะสูงขึ้น

สังคมโลกต้องเผชิญกับความเสี่ยงของสงคราม นิวเคลียร์ ความรุนแรงการก่อการร้าย การเข่นฆ่ากันทั่วหัวระแหง พระไพศาล วิสาโล เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า โลกปัจจุบันเป็นยุคแห่งความเกลียดชัง มนุษย์พร้อมที่จะทำลายล้างกันอย่างโหดเหี้ยมทารุณ

ถึงตรงนี้ หลายคนคงเริ่มหดหู่ใจถึงสิ้นหวัง แต่ดิฉันยังขอยืนยันว่า ในภาวะอึมครึมเช่นนี้ ชีวิตยังรื่นรมย์ได้และยังอยากเชิญชวนทุกคนมาร่วมรื่นรมย์กับชีวิตต่อไป

บางทีความท้าทายและปัญหาในชีวิตก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นแง่งามและความรื่นรมย์ของชีวิต

ในวงประชุมจิตวิวัฒน์เรื่อง “จิตวิญญาณกับการเมืองไทย” ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ผู้ที่ปวารณาตัวว่าเป็นนักอภิวัฒน์สังคม อย่างอาจารย์ ชัยวัฒน์ ถิรพันธุ์ พยากรณ์ว่ายุคมืดกำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว แสงไฟเริ่มสลัว และอาจจะดับลงในไม่ช้า เราจำเป็นต้องตื่นขึ้นมารับรู้และยอมรับความจริงให้เร็วที่สุด เพื่อปรับตัวตั้งรับปัญหาความท้าทายต่างๆให้ทันท่วงที และถ้าเราทำได้ สิ่งนี้จะเป็นตะเกียงแห่งความหวังของเรา

อันที่จริง ความมืดไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่เป็นความธรรมดาของโลก มีมืด ย่อมมีสว่าง เมื่อสว่างแล้วก็มืด หากเราตระหนักรู้กฎธรรมชาติธรรมดานี้ เราจะไม่โวยวายตื่นกลัวมากนักในคราวที่ความมืดมาเยือน หากจะสามารถยืนหยัดเผชิญกับรัตติกาลอย่างกล้าหาญและเปี่ยมด้วยความหวัง ว่าอีกไม่นานก็จะถึงคราวสว่างฟ้าแจ้ง และเมื่อคราวฟ้าใสเราก็ไม่ประมาทหลงระเริงใจ

ในประวัติศาสตร์โลก เมื่อยุโรปผ่านยุคมืดก็เกิดยุค Enlightenment คือยุคแห่งแสงสว่างและความรู้ ช่วงแห่งความมืดจะสั้น-ยาว จะหนักหน่วงหรือเบาคลาย ก็ขึ้นอยู่กับผู้คนในยุคนั้นว่า จะปรับตัว ปรับใจ และเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อขจัดความมืดออกไปโดยเร็วและสร้างสรรค์สิ่งดีกว่าในอนาคต หรือในทางตรงกันข้ามทำให้ความมืดนั้นเย็นเยือกยาวนานออกไปอีก

ความเจริญทางเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์บีบให้โลกใบนี้เล็กลง เกิดปัญหาเหลื่อมทับ ซับซ้อนมากขึ้นโยงใยไปทั่วโลก ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เราทั้งหมดต้องเผชิญร่วมกัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ มนุษย์ธรรมดาไม่อาจแก้ปัญหาได้ แต่เราต้องการมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ จำพวกยอดมนุษย์เพื่อช่วยแก้ปัญหาอันหนักหน่วงนี้ อาจารย์ชัยวัฒน์เสนอ
และเราไม่ต้องร้องเรียก รอคอย ซุปเปอร์ฮีโร่จากที่ไหนเลย ยอดมนุษย์อยู่ในตัวเรานี่เอง

ความหมายของ “ยอดมนุษย์” ในที่นี้เป็นเรื่องเดียวกับ “ความเป็นมนุษย์ที่แท้” ที่ท่านพุทธทาสกล่าวถึงเสมอ มนุษย์ที่แท้สามารถผันชะตากรรมของโลกได้
มนุษย์คือผู้สร้างปัญหาและนักแก้ปัญหา คือผู้สร้างชะตากรรม และแปรเปลี่ยนชะตากรรม

พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวนำแสงแห่งปัญญาให้หลายชีวิตมากว่า 2500 ปี ธรรมที่ท่านนำมาสอนบอกกล่าว ทำให้ล้านๆชีวิตเข้าถึงศานติสุขภายในและรังสรรค์สันติภาพภายนอก อิทธิพลของท่านจะยังคงสืบเนื่องผ่านห้วงเวลาและสถานที่ต่อไป

คานธี ชายอินเดียร่างเล็ก ไร้อาวุธและตำแหน่งทางการเมือง สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าจักรวรรดินิยม และนำอิสรภาพสู่อินเดีย นำกระแสกระบวนการทางสังคมคือ อหิงสา จวบจนทุกวันนี้
ด้วยความเชื่อที่ว่า “เราต้องทำสิ่งเล็กๆด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่”

แม่ชีเทเรซานำความหวังมาสู่ชีวิตนับแสนในอินเดีย ท่านจัดหาอาหาร โรงเรียน สถานพยาบาล ศูนย์เด็กกำพร้า ที่พักพิงผู้ป่วยระยะสุดท้าย เป็นต้น
โลกของเราไม่เคยว่างเว้นจากยอดมนุษย์ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นมนุษย์ไม่ต่างจากเราเพียงแต่พวกท่านยกระดับจิตใจตัวเองให้เป็นยอดมนุษย์ได้ และนี่คือหนทางแห่งความรอดของทั้งโลก และในเวลานี้เราจำเป็นต้องการเพิ่มขึ้นอีก

ท่านคานธีเคยกล่าวว่า หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงโลก เราจำต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน อาจารย์ชัยวัฒน์ ขยายความต่อว่า เราต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจ สภาวะภายใน ด้วยพลังสติ ความรักและกรุณา ความกล้าหาญ และพลังกลุ่ม

เราต้องตระหนักรู้ศักยภาพภายในว่า เราสามารถเป็นยอดมนุษย์ได้ และมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองเพิ่มพูนพลังแห่งสติ คือการรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ทำไปทำไม เราคือใคร และอยู่ไปเพื่ออะไร

บ่มเพาะความรักและกรุณา ขยายใจเราให้ใหญ่ขึ้นไปไกลกว่าขอบเขตของตัวตน ปัญหาหลายอย่างที่เราเผชิญมาจากการที่คนเราโดยมากเห็นแก่ตัวเองเป็นหลัก คำนึงถึงผู้อื่นและส่วนรวมน้อย
เราเห็นแก่ความสะดวกสบาย บริโภคถุงพลาสติก “ไม่เป็นไร ไม่แพง” แต่เรากำลังทิ้งภาระให้โลกข้างหน้าเป็นร้อยๆปี เราเห็นแก่ความร่ำรวยมากเกินพิกัด เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น สังคมเป็นทุกข์ ถ้าหากเราต้องการรอด เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด หันมาเห็นข่ายใยความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงชีวิตของเรากับสิ่งอื่นๆ เราสัมพันธ์กับธรรมชาติอย่างไร เราสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานอย่างไร เราสัมพันธ์กับครอบครัว เราสัมพันธ์กับสังคมชุมชนอย่างไร เราสัมพันธ์กับการเมืองอย่างไร
คำตอบ คำนิยามที่เราให้ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสิ่งต่างๆ รวมทั้งท่าที วิถีปฏิบัติของเราจะกำหนดรูปแบบของชีวิต ทางแก้หรือ ทางตันของปัญหา

ความกล้าหาญและอดทนที่จะน้อมรับความจริงและเผชิญหน้ากับความท้าทายของปัญหา และลงมือปฏิบัติการ ความคิดและคำพูดเป็นความเชื่อ จินตนาการที่รอคอยการพิสูจน์ การเรียนรู้ที่แท้เกิดจากการลงมือทำ ลงมือปฏิบัติจนเห็นแจ้ง

ยิ่งเรายอมรับความจริงเร็วเท่าไร เราจะปรับตัวเพื่อเผชิญกับปัญหาได้เร็วและดีขึ้นเท่านั้น ระยะเวลาความมืดจะสั้นลง แต่ถ้าเราหนีปัญหา ไม่ยอมมองหรือหลอกตัวเองว่าเรายังอยู่ในยุคทอง ซึ่งจะอยู่ยั้งยืนยง เราอาจเป็นเหมือนไดโนเสาร์ที่ปรับตัวได้ช้าและอาจสูญพันธุ์ไปในที่สุด

ที่สำคัญ ยอดมนุษย์เพียงคนใดคนหนึ่งไม่สามารถช่วยเราได้ เราไม่อาจทิ้งความรับผิดชอบของเรา แล้วโยนภาระการกอบกู้โลกไปให้ใครคนใดคนหนึ่งซึ่งเรายกให้เป็นวีรบุรุษ นั่นเป็นความหวังที่ไม่ยั่งยืนเท่าไร เราต้องอาศัยการผนึกกำลังของยอดมนุษย์หลายๆคน หลายๆศักยภาพที่แตกต่างหลากหลาย
และนี่หมายความว่า เราต้องยกระดับตัวเองขึ้นเป็นยอดมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวตน แต่เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อชีวิต สังคมและโลกที่ให้เราได้อาศัย

มีคำกล่าวว่า “ทางเกิดขึ้นเมื่อเราออกเดิน” ถึงเวลาแล้วกระมังที่เราแต่ละคนต้องเริ่มเดิน เพื่อสร้างทางให้ตัวเราและลูกหลานในอนาคต ให้พวกเขามีโลกและชีวิตที่น่ารื่นรมย์


กรรณจริยา สุขรุ่ง

ไม่มีความคิดเห็น: