วันศุกร์, กันยายน 05, 2551
ตัวตนสลาย พึ่งได้ในธรรมะ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “อานนท์ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ... วินัย ที่เราได้บัญญัติแก่ท่านทั้งหลายก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลายก็ดี เมื่อเราล่วงไป ธรรมและวินัยนั้น ๆ แล จักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย”
หากใคร่ครวญพุทธพจน์นี้ให้ดี จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เราไม่ยึดติดกับตัวบุคคล ผู้ซึ่งแม้จะมีธรรมสูงส่งเพียงใดก็มีอันต้องเสื่อมสลายดับไปทั้งสิ้น
สิ่งที่เราทั้งหลายควรใช้เป็นหลักยึดในการประคองชีวิตที่ดีนั้น คือ หลักธรรม หลักจริยธรรมและศีลธรรม ซึ่งเป็นสากล ไร้กาละและเทศะ หากเราสามารคถือหลักที่ดีได้ แม้บุคคลใดจะผ่านมาและผ่านไป หลักที่ดีนั้นก็จะยังช่วยเราให้มีชีวิตที่ถูกที่งาม ดังเช่นพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วนั้น ยังคงช่วยเหลือผู้คนมากมายกว่า 2500 ปี และแผ่ขยายไปทั่วโลก
หากท่านให้ยึดถือในตัวพระพุทธองค์ ธรรมคงสูญสลายไปด้วยภายหลังการปรินิพพานของพระองค์
ที่ยกเรื่องนี้มาเปิดประเด็นชวนคุย เพราะเห็นว่าบางทีพวกเราอาจจะยึดติด หลงใหลในบุคคลที่เป็นที่น่าเคารพ ศรัทธา และบูชา จนเราผูกใจไว้กับบุคคลมากกว่าผูกกับธรรมะที่อยู่ในเนื้อในตัวของคนผู้นั้น ละเลยที่จะน้อมนำเอาธรรมมาปฏิบัติ ให้เกิดผลเป็นที่ประจักษ์แก่ใจของตนเอง
พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญความรักและการเคารพบูชาเช่นนี้
หนทางอันประเสริฐ คือ รักและเคารพใครก็ให้ปฏิบัติบูชา ทำความดีเอาเยี่ยงท่านอย่างเธอ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่ดีงาม หากรักและเคารพได้เช่นนี้ บุคคลที่เราเคารพบูชาก็จะอยู่ในกาย ในใจเราตลอดไป ไม่ว่าชีวิตของเขาจะยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่มีแล้วก็ตาม
บรรพบุรุษของชนชาวสยามรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้ฝากธรรม และ จิตวิญญาณใดไว้ให้ลูกหลาน เรามองย้อนดูบ้างหรือไม่
และเรา...บรรพบุรุษของลูกหลานในอนาคต จะส่งต่อธรรมและจิตวิญญาณเช่นไรให้กับพวกเขา ได้มีชีวิตและระลึกถึง
กรรณจริยา สุขรุ่ง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น